เกาะติดยุทธศาสตร์พัฒนาแบบวงจรคู่ขนานของจีน

.สนค.คาดมีทั้งผลดี-เสียต่อการค้า/ส่งออกไทยในอนาคต
.หวั่นไทยเสียตลาดส่งออกแผงวงจรรวมหลังจีนหันผลิตเอง
.แต่เป็นโอกาสขยายตลาดข้าว-อาหาร-ผลไม้สด อบแห้ง

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การค้า การส่งออกของไทยในอนาคต อาจได้รับผลกระทบจากยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบวงจรคู่ขนานของจีน ซึ่งเป็นนโยบายหลักในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 5 ปี (ปี 64 68) เพื่อสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจของประเทศ และลดพึ่งพาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพราะยุทธศาสตร์ดังกล่าว จีนจะมุ่งขยายตลาดในประเทศ จากเดิมที่เน้นผลิตเพื่อส่งออก ลดพึ่งพาการนำเข้า และหันมาผลิตเองมากขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่อาจหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น สารกึ่งตัวนำ วงจรรวม, อุตสาหกรรมพลังงาน โดยใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น และอุตสาหกรรมอาหาร

“ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะยุทธศาสตร์ดังกล่าว อาจมีนัยยะสำคัญต่อการค้าของไทยในอนาคต เช่น สินค้าแผงวงจร ที่จีนนำเข้าจากไทยสูง อย่างปี 62 นำเข้าจากไทยถึง 3,874 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถ้าจีนหันมาผลิตเองมากขึ้น ย่อมมีความเสี่ยงต่อการส่งออกของไทยในอนาคต”
แต่ในทางกลับกัน ไทยอาจยังมีโอกาสขยายตลาดในจีน ในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ที่ปัจจุบัน จีนนำเข้าเครื่องกังหันไอพ่น และส่วนประกอบของเครื่องกังหันไอพ่นมากกว่ากังหันชนิดอื่นๆ และนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างปี 62 นำเข้าสูงถึง 3,466 และ 3,634 ล้านเหรียญฯตามลำดับ ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งหากไทยพัฒนาศักยภาพการผลิต โดยเฉพาะส่วนประกอบเครื่องกังหันไอพ่น โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการลงทุนและวิจัยพัฒนานวัตกรรม ก็จะสามารถขยายตลาดส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังจีนได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีโอกาสขยายตลาดส่งออกสินค้าอาหารไปจีนได้เพิ่มขึ้นอีก เช่น ข้าว เพราะมีการคาดการณ์กันว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจีนจะขาดแคลนข้าว รวมถึงยังเป็นโอกาสของสินค้าอื่นๆ อีก ทั้ง ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง กุ้งแช่แข็ง อาหารปรุงแต่ง เป็นต้น