อดีตกษัตริย์สเปน ชู้รัก และเรื่องฉาวในราชสำนักที่ไม่มีใครอยากพูดถึง

อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส และ น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ที่พิธีมอบรางวัลแห่งหนึ่งในนครบาร์เซโลนา ปี 2006

สำนักข่าวบีบีซี ได้จัดทำรายงานเรื่องราชสำนักแห่งประเทศสเปนที่ชาวโลกได้ให้ความสนใจกัน นับตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. ปี 2020 อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส แห่งสเปนทรงย้ายไปพำนักในต่างแดน หลังจากทรงตกเป็นข่าวอื้อฉาวเรื่องธุรกรรมทางการเงินอันมิชอบ แต่ความรักและความศรัทธาที่คนสเปนมีต่อสถาบันกษัตริย์ของชาติได้เริ่มเสื่อมคลายลงมาตั้งแต่ปี 2012 หลังการเสด็จประพาสล่าช้างในแอฟริการ่วมกับ น.ส.คอรินนา ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ อดีตชู้รักของพระองค์

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับบีบีซีถึงความสัมพันธ์ของเธอกับอดีตกษัตริย์สเปน และ “ของขวัญ” มูลค่าหลายล้านยูโรที่พระองค์พระราชทานแก่เธอ ตลอดจนการถูกข่มขู่คุกคามจากหน่วยสืบราชการลับของสเปน รวมทั้งเรื่องช้างตัวดังกล่าวที่จุดกระแสความไม่พอใจให้คนสเปนที่ออกมาเรียกร้องให้สมเด็จพระราชาธิบดีฮวน คาร์ลอส ซึ่งเป็นกษัตริย์ของสเปนในขณะนั้นทรงสละราชสมบัติ

แม้ น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ จะไม่ต้องการพูดถึงช้างตัวดังกล่าวที่อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ทรงลั่นไกสังหารเมื่อวันที่ 11 เม.ย. ปี 2012 มากนัก แต่สื่อมวลชนต่างรายงานว่ามันมีอายุ 50 ปี หนัก 5 ตัน และมีงายาวกว่า 1 เมตร

“ดิฉันไม่ทราบเลย” ที่ปรึกษาทางธุรกิจเชื้อสายเดนมาร์กที่เติบโตในเยอรมนีกล่าวเมื่อถูกถามถึงช้างตัวนั้น แม้เธอจะอยู่ร่วมในการเดินทางท่องเที่ยวแบบซาฟารีในประเทศบอตสวานา แต่เธออ้างว่าตนเองไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ตอนที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส และ คอรินนา ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ในปี 2008

“ดิฉันเห็นมันหลังจากนั้น เพราะทุกคนต่างเข้าไปดูมัน” เธอเล่า “แต่ดิฉันเดินออกมา 2 นาทีหลังจากนั้น แม้ดิฉันจะเป็นนักล่าสัตว์ แต่ก็ไม่เคยล้มช้างมาก่อนในชีวิตและจะไม่มีวันทำเด็ดขาด สำหรับดิฉันการล่าสัตว์ครั้งนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าสะเทือนใจ”

การเที่ยวชมสัตว์ป่าในบอตสวานาครั้งนั้นเป็นของขวัญที่อดีตกษัตริย์สเปนพระราชทานให้บุตรชายของ น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ เนื่องในวันเกิดครบรอบ 10 ปีของเขา อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ทรงใกล้ชิดสนิทสนมกับลูก ๆ ของเธอในช่วงที่ทั้งคู่คบหากันระหว่างปี 2004 – 2009 ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ลับที่สาธารณชนสเปนยังไม่ล่วงรู้ในขณะนั้น นับแต่พระองค์อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีโซเฟียในปี 1962

“ดิฉันไม่ได้กระตือรือร้นกับการเดินทางครั้งนี้มากนัก” น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ เล่า “ดิฉันรู้สึกว่ากษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงพยายามทำให้ดิฉันกลับไปคืนดีกับพระองค์ และดิฉันก็ไม่อยากทำให้พระองค์ทรงเข้าใจผิดไป ดิฉันรู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์เกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้”

ความกังวลของเธอได้กลายเป็นจริง เพราะช่วงก่อนรุ่งสางของวันที่ 13 เม.ย.ปี 2012 กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงหกล้มในกระโจมที่ประทับหรู ส่งผลให้กระดูกพระโสณี (สะโพก) ของพระองค์หัก

เมื่อพระองค์เสด็จนิวัตสเปน สื่อมวลชนต่างประโคมข่าวเรื่องการท่องเที่ยวแบบซาฟารีครั้งนั้นราวกับสิงโตหิวโหยที่เข้าขย้ำละมั่ง โดยการเปิดโปงเรื่องการล่าช้างยังเกิดขึ้นเพียงไม่นาน หลังจากเริ่มมีการสอบสวนคดีทุจริตต่อนายอิญากิ อูร์ดังการิน พระชามาดา (บุตรเขย) ซึ่งทำให้เขาถูกจำคุกมาจนถึงปัจจุบัน

ช่วงที่เกิดเรื่องดังกล่าวยังเป็นเวลาเดียวกับที่ประเทศสเปนกำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย และมีอัตราการว่างงานสูงถึง 23% โดยหลังการผ่าตัด กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่โรงพยาบาล

เมื่อทรงถูกสื่อมวลชนถามถึงพระอาการ กษัตริย์สเปนที่ทรงใช้ไม้เท้าช่วยเดินได้ตรัสว่า “ข้าพเจ้าเสียใจ…ข้าพเจ้าทำผิดพลาดไปแล้ว และมันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

ในอดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ทรงเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนจากการที่ทรงนำพาสเปนออกจากยุคเผด็จการเข้าสู่ยุคประชาธิปไตย หลังการเสียชีวิตของนายพลฟรานซิสโก ฟรังโก ในปี 1975 และการที่ทรงช่วยยับยั้งความพยายามก่อรัฐประหารในปี 1981 ทว่าเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายต่อความนิยมในสถาบันกษัตริย์อย่างยิ่งยวด

นายโฆเซ อันโตนิโอ ซาร์ซาเฆยอส อดีตบรรณาธิการ ABC หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวาที่สนับสนุนราชวงศ์ของสเปน ระบุว่า “วิกฤตที่ปะทุขึ้นจากการประพาสบอตสวานาครั้งนั้นได้จุดประเด็นถกเถียงหลายเรื่อง”

“ประการแรกคือการที่กษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ทรงไม่ซื่อสัตย์ต่อสมเด็จพระราชินีโซเฟีย ประการที่สองคือ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ พระองค์ได้เสด็จฯ ไปยังประเทศที่สเปนไม่มีผู้แทนทางการทูต ทำให้พระองค์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ทรงอยู่นอกสายตาของรัฐบาลสเปน และประการที่สามคือนี่เป็นการเดินทางที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก พวกเราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส”

กษัตริย์ฮวน คาร์ลอส และ น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ รู้จักกันที่งานสังสรรค์ซึ่งมีการยิงปืนล่าสัตว์งานหนึ่งในเดือน ก.พ. ปี 2004

เธอเล่าว่าตอนนั้นกษัตริย์สเปนทรงมีปัญหาเกี่ยวกับพระแสงปืนของพระองค์ 

“ดิฉันมีความรู้เรื่องปืนอยู่พอสมควร จึงอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้น…ดิฉันคิดว่าพระองค์ทรงประหลาดใจทีเดียว”

จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้น

“เราพูดคุยกันทางโทรศัพท์อยู่ 2-3 เดือน…เดทแรกเกิดขึ้นช่วงต้นฤดูร้อนปีนั้น เราหัวเราะด้วยกันตลอด เราเข้ากันได้ดีในหลายเรื่อง และมีความสนใจแบบเดียวกันในหลายด้าน เช่น การเมือง ประวัติศาสตร์ อาหารอร่อย และไวน์…”

“ตอนนั้นดิฉันอาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน โดยเพิ่งจะเริ่มทำบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจของตัวเอง และดิฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสอง ดังนั้นเราทั้งคู่จะนัดพบกันที่กระท่อมหลังเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในกรุงมาดริด และออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน”

กษัตริย์สเปน ตรัสขออภัยต่อการประพาสล่าช้างในบอตสวานา

“ปีแรกเป็นช่วงที่ยากลำบาก เพราะดิฉันงานยุ่งมาก และพระองค์ก็ทรงงานเต็มเวลา แต่จะทรงโทรศัพท์หาดิฉันถึงวันละ 10 ครั้ง มันเป็นความสัมพันธ์ที่จริงจัง และลึกซึ้งตั้งแต่ต้น”

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ได้เอ่ยถามกษัตริย์สเปนว่าสมเด็จพระราชินีโซเฟียจะทรงคิดเห็นอย่างไรต่อความสัมพันธ์ครั้งนี้

“พระองค์ตรัสว่า ทรงมีข้อตกลงระหว่างกันในการทำหน้าที่กษัตริย์และราชินี 

แต่ทั้งสองพระองค์ต่างมีชีวิตที่แยกจากกันอย่างสิ้นเชิง และตอนนั้นกษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงเพิ่งจะยุติความสัมพันธ์เกือบ 20 ปีกับสตรีอีกคน ซึ่งมีความสำคัญมากในชีวิตและจิตใจของพระองค์”

กษัตริย์สเปน และน.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ใกล้ชิดกันมากขึ้น และเธอได้ใช้เวลาร่วมกับพระสหายของพระองค์ รวมทั้งยังได้พบกับพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์

ในปี 2009 กษัตริย์สเปนเสด็จฯ ไปพบบิดาของเธอ

อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีโซเฟีย ตั้งแต่ปี 1962

“พ่อโทรหาดิฉัน และบอกว่าพระองค์ได้เสด็จฯ ไปพบและตรัสกับท่านว่า ทรงหลงรักดิฉันมาก และมีพระประสงค์จะแต่งงานด้วย”

“พระองค์ทรงบอกพ่อว่าคงยังไม่สามารถทำได้ในทันที และอาจต้องใช้เวลา ทรงอยากให้พ่อรับรู้ว่าทรงจริงจังกับดิฉันมากเพียงใด”

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ระบุว่า กษัตริย์ฮวน คาร์ลอส เสด็จฯ ไปพบพ่อของเธอหลังจากพระองค์ทรงขอเธอแต่งงานไปแล้วก่อนหน้านี้

“แน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจเมื่อเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น และดิฉันก็รักพระองค์อย่างลึกซึ้ง แต่ดิฉันคาดการณ์ในฐานะนักยุทธศาสตร์การเมืองว่านี่จะเป็นเรื่องที่ยากมาก และอาจสั่นคลอนสถาบันกษัตริย์สเปน”

“ดังนั้นดิฉันจึงไม่เคยสนับสนุนมัน แต่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความจริงจังในความสัมพันธ์ครั้งนี้มากกว่าจะพยายามทำให้การแต่งงานเกิดขึ้นจริง”

แต่ความรักอันหวานชื่นของทั้งคู่ได้จบลงในปีเดียวกันนั้น

“พ่อของดิฉันป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนและมีเวลาเหลืออยู่เพียงไม่กี่เดือน” นักธุรกิจหญิงเชื้อสายเดนมาร์กเล่า “ดิฉันจึงตัดสินใจใช้เวลาอยู่กับท่าน เราสนิทกันมาก แต่แล้วดิฉันก็พบกับเรื่องสุดช็อก เพราะหลังจากงานศพพ่อ กษัตริย์สเปนทรงบอกดิฉันว่าพระองค์กำลังมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอีกคนมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว”

“มันทำให้ดิฉันหัวใจสลาย มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ดิฉันคาดคิด ดิฉันต้องการกำลังใจอย่างมากหลังจากการเสียชีวิตของพ่อ แต่ข่าวนี้ได้สร้างความสะเทือนอารมณ์ให้แก่ฉันมาก ดิฉันไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ หลังจากที่พระองค์ทรงขอแต่งงาน และเสด็จฯ ไปพบพ่อของดิฉัน มันทำให้ดิฉันล้มป่วยไปหลายเดือน”

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ บอกว่าตอนนั้นเธอเชื่อว่านอกจากสมเด็จพระราชินีโซเฟียแล้ว เธอคือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงมีความสัมพันธ์ด้วย

“ดิฉันพูดชัดเจนว่าจะไม่ยอมทนต่อการที่พระองค์จะทรงคบหากับหญิงอื่นไปพร้อม ๆ กัน”

“ดิฉันคิดว่าท้ายที่สุดพระองค์ทรงเสียพระทัยกับสิ่งที่ได้ทำลงไป แต่สำหรับดิฉันแล้วมันเป็นสิ่งที่ดิฉันไม่สามารถก้าวข้ามไปได้”

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ตามเสด็จกษัตริย์สเปนเยือนเยอรมนีในปี 2006

แม้ความรักจะจบลง แต่ทั้งคู่ยังคงความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงสนิทสนมกับลูก ๆ ของ น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ และช่วงปลายปี 2009 พระองค์ทรงขอพบกับเธอ

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ตามเสด็จกษัตริย์สเปนเยือนเยอรมนีในปี 2006

“พระองค์ทรงมีข่าวร้ายจะบอกดิฉัน ทรงได้รับการวินิจฉัยว่ามีก้อนเนื้อที่พระปัปผาสะ (ปอด) และทรงคิดว่าน่าจะเป็นมะเร็ง พระองค์ทรงกลัวมาก และตรัสว่าครอบครัวของพระองค์ยังไม่ทราบเรื่อง ตอนนั้นดิฉันไม่อยากทอดทิ้งพระองค์จึงทำหน้าที่เพื่อนผู้ทุ่มเทและซื่อสัตย์ในช่วงที่กำลังประชวร”

ตอนที่กษัตริย์สเปนทรงมีกำหนดเข้ารับการผ่าตัดในปี 2010 อดีตคู่รักเชื้อสายเดนมาร์กผู้นี้เล่าว่า พระองค์ทรงขอให้เธอไปอยู่เคียงข้างที่โรงพยาบาล

“ดิฉันนอนที่โซฟาข้างพระแท่น (เตียง) ก่อนที่การผ่าตัดจะเริ่มขึ้น เพราะพระองค์ทรงรู้สึกประหม่า…แต่ผลการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจพบว่ามันเป็นเพียงเนื้องอกธรรมดา”

จากนั้นครอบครัวของพระองค์ก็มาถึงที่โรงพยาบาล

“ดิฉันถูกขอให้ออกไปจากห้องอย่างกะทันหันโดยข้าราชบริพารที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรของพระองค์…ตอนที่สมเด็จพระราชินีโซเฟียและข้าราชบริพารบางคนได้รู้ว่ากษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงจริงจังกับดิฉันมากเพียงใด ความรู้สึกเป็นศัตรูก็เพิ่มสูงขึ้น”

แต่ถึงอย่างนั้น น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ บอกว่ามิตรภาพระหว่างเธอกับกษัตริย์สเปนยังคงดำเนินต่อไป

นี่จึงนำไปสู่เหตุการณ์ในปี 2012 นั่นคือการท่องซาฟารีในประเทศบอตสวานา การฆ่าช้าง และการที่กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงหกล้มกระดูกพระโสณี (สะโพก) หัก

หลังจากนั้นไม่นาน เรื่องการล่าสัตว์ก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง และ น.ส.ซู 

ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ก็เชื่อว่าเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า

“ดิฉันคิดว่าข่าวการประพาสครั้งนี้คงจะรั่วไหลออกไปอยู่ดีไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือไม่” เธอกล่าว “กรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับพระชามาดา (บุตรเขย) และพระราชธิดาของพระองค์เริ่มปรากฏขึ้นในปลายปี 2011 และดิฉันคิดว่านั่นทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของฝักฝ่ายต่าง ๆ ในหมู่ชนชั้นสูงและสมาชิกราชวงศ์”

“มีความพยายามในราชสำนักที่ต้องการขับกษัตริย์ฮวน คาร์ลอสออกไป โดยการเร่งให้พระองค์สละราชสมบัติเร็วขึ้น” เธอระบุ

“นับตั้งแต่กลับจากการเดินทางครั้งนั้น ดิฉันก็ตกอยู่ภายใต้การสอดส่องอย่างเต็มรูปแบบ”

“นี่คือช่วงต้นของความพยายามป้ายสีให้ดิฉันกลายเป็น วอลลิส ซิมป์สัน และ เลดี้แมคเบธ ตัวละครอันชั่วร้ายที่หลอกล่อชายผู้แสนดีไปท่องเที่ยวในช่วงที่บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ”

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ อ้างว่าหลังจากทริปดังกล่าว เธอก็เริ่มได้รับการติดต่อที่ไม่เป็นมิตรจากหน่วยข่าวกรองสเปน (CNI) ตั้งแต่การที่อะพาร์ตเมนต์ในประเทศโมนาโกถูกบุกรุกและรื้อค้นในช่วงที่เธอไม่อยู่

หลังเกิดเหตุเธอได้ส่งข้อความถึงกษัตริย์สเปนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งพระองค์ตรัสว่าเป็นคนที่ไปคุ้มครองเธอจากบรรดาช่างภาพปาปารัสซี

“แต่หากพระองค์ทรงเป็นห่วงความปลอดภัยของดิฉันจริง ก็น่าจะทรงโทรศัพท์ถึงเจ้าชายอัลแบร์ (แห่งโมนาโก) พระสหายสนิท ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของดิฉันมายาวนาน แล้วแจ้งว่า ‘เรามีความกังวลเรื่องความปลอดภัย พระองค์จะช่วยดูแลที่พักของคอรินนาได้หรือไม่'”

แล้วผู้บุกรุกเหล่านี้ต้องการค้นหาอะไร

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ในปี 2019

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ อ้างว่าเธอเองก็ไม่ทราบว่าพวกเขาต้องการค้นหาเอกสารอะไรในที่พักของเธอ

นอกจากนี้เธอเล่าว่ามีคนสะกดรอยตามเธอระหว่างเดินทางไปทำธุรกิจในบราซิล และเธอยังได้รับข้อความข่มขู่เอาชีวิตจากบุคคลนิรนาม ที่ระบุว่ามีอุโมงค์หลายแห่งบนเส้นทางระหว่างประเทศโมนาโกกับเมืองนีซของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงกรณีของไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ที่สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในอุโมงค์แห่งหนึ่งที่กรุงปารีส ส่วนอะพาร์ตเมนต์ในสวิตเซอร์แลนด์ของเธอก็มีคนนำหนังสือเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอานาไปวางไว้ในห้องนั่งเล่น

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ยังอ้างว่า ในปี 2012 นายเฟลิกซ์ ซานซ์ โรลดัน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองสเปนในขณะนั้น ได้บุกไปหาเธอถึงที่บ้านพักในกรุงลอนดอน

“เขาพูดว่าถูกกษัตริย์สเปนส่งมา เพื่อเตือนไม่ให้ดิฉันพูดกับสื่อมวลชน”

“เขาบอกว่าหากดิฉันไม่ทำตามคำสั่งเหล่านี้ เขาจะไม่รับรองความปลอดภัยของตัวดิฉันและลูก ๆ”

บีบีซีพยายามติดต่อขอสัมภาษณ์นายเฟลิกซ์ ซานซ์ โรลดัน (ซึ่งปัจจุบันไม่ได้เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองสเปนแล้ว) ผ่านทาง CNI แต่ไม่ได้รับการตอบกลับใด ๆ ขณะที่บริษัท Iberdrola ของสเปนที่เขาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอยู่ก็ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือในการติดต่อเขา

นายเฟลิกซ์ ซานซ์ โรลดัน ในปี 2017

เป็นที่ทราบกันดีว่านายเฟลิกซ์ ซานซ์ โรลดัน มีความใกล้ชิดกับกษัตริย์สเปนมาก

ดร.เฟอร์นันโด รูเอดา ผู้เชี่ยวชาญด้านหน่วยข่าวกรองสเปนของมหาวิทยาลัยวียันเอวา ระบุว่า “ตอนที่ เฟลิกซ์ ซานซ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ CNI มิตรภาพระหว่างทั้งสองก็แน่นแฟ้นขึ้น เขาปกป้องกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส อย่างที่สุด”

“แต่เฟลิกซ์ ซานซ์ ไม่ใช่หัวหน้า CNI คนแรกที่เตือนพระองค์ว่าความสัมพันธ์กับคอรินนาไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และคอรินนาก็ไม่ใช่คนที่ไว้ใจได้” ดร.รูเอดา กล่าว

แล้วนักวิชาการผู้นี้คิดอย่างไรต่อคำกล่าวอ้างของ น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์

ดร.รูเอดา บอกว่า “ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

“แต่มันก็ไม่ทำให้ผมประหลาดใจ เพราะหากหน่วยข่าวกรองเล็งเห็นว่ากำลังมีภัยคุกคามความมั่นคงของรัฐสเปน พวกเขาจะใช้กลไกทุกอย่างเพื่อให้ได้เอกสารสำคัญกลับคืนมา”

แม้อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส จะทรงสละราชสมบัติให้กษัตริย์เฟลีเปที่ 6 พระราชโอรสในปี 2014 แต่พระองค์ยังทรงปฏิบัติพระกรณียกิจอย่างเป็นทางการอย่างต่อเนื่อง และมีการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศเพื่อการค้าและธุรกิจอยู่เสมอ โดยเฉพาะในประเทศแถบตะวันออกกลาง

สายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับตะวันออกกลางนี้เองได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับจ้องและตรวจสอบอย่างหนัก โดยเฉพาะจากอัยการ ที่เริ่มเปิดการสอบสวนเรื่องนี้หลังจากมีการปล่อยเทปเสียงที่ตำรวจนอกแถวของสเปนนายหนึ่งได้บันทึกการสนทนาทั้งหมดของเขากับบรรดาบุคคลมีชื่อเสียง ซึ่งรวมถึง น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ด้วย

ในปี 2018 เทปเสียงดังกล่าวได้ถูกนำออกเผยแพร่ในสื่อสเปน โดยหนึ่งในนั้นเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดถึงกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส เป็นภาษาสเปนว่า 

การเสด็จประพาสล่าช้างทำให้มีผู้ออกมาประท้วงจำนวนมาก และเรียกร้องให้สมเด็จพระราชาธิบดีฮวน คาร์ลอส ซึ่งเป็นกษัตริย์ของสเปนในขณะนั้น ทรงสละราชสมบัติ

“พระองค์ได้เงินมาอย่างไรน่ะหรือ ? ทรงขึ้นเครื่องบินไปยังประเทศอาหรับ…แล้วเสด็จกลับมาพร้อมกับเงินสดในกระเป๋าเอกสาร บางครั้งก็ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พระองค์ทรงมีเครื่องนับเงิน ดิฉันเห็นมากับตาตัวเอง”

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ไม่เคยยืนยันอย่างเป็นทางการว่านั่นเป็นเสียงของเธอ แต่การเปิดโปงเทปเสียงเหล่านั้นก็ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง และเป็นตัวเร่งให้เปิดการสอบสวนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และในสเปน

การสอบสวนมุ่งเป้าไปที่เงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียพระองค์ก่อนได้พระราชทานให้อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ในปี 2008 เพื่อหาว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินสินบน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่กลุ่มบริษัทของสเปนได้สัญญาในการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงจากเมืองเมดินาไปยังนครเมกกะ ในอีก 3 ปีต่อมาหรือไม่

โดยเงินก้อนดังกล่าวได้ถูกนำไปฝากไว้ในบัญชีธนาคารแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ที่เชื่อมโยงกับมูลนิธิที่จดทะเบียนในประเทศปานามา ซึ่งอดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ทรงเป็นผู้รับผลประโยชน์

ส่วนเมื่อเดือน มิ.ย. อัยการที่ศาลสูงสุดของสเปน ประกาศเริ่มการสอบสวนอดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส เป็นครั้งแรก เพื่อวินิจฉัยว่า พระองค์จะทรงถูกตั้งข้อหาจากอาชญากรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินจากซาอุดีอาระเบียหรือไม่ แต่การสอบสวนสามารถทำได้เฉพาะข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นหลังจากที่พระองค์ทรงสละราชสมบัติในปี 2014 ซึ่งพระองค์สูญเสียการได้รับสิทธิ์คุ้มครองจากการถูกดำเนินคดี

เมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา อดีตกษัตริย์ผู้นี้ทรงสร้างความตกตะลึงให้คนสเปนด้วยการประกาศย้ายออกไปพำนักในต่างแดน ซึ่งสำนักพระราชวังสเปนได้เปิดเผยในเวลาต่อมาว่าทรงพำนักอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แล้ว น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ อยู่ตรงไหนในเรื่องนี้

เธอคือ 1 ใน 3 บุคคลผู้เกี่ยวข้องกับอดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ที่กำลังถูกอัยการสวิตเซอร์แลนด์สอบสวน เพราะหลังเหตุการณ์ในบอตสวานาเมื่อปี 2012 กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงถ่ายโอนทรัพย์สิน 65 ล้านยูโร ที่เหลือจากเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ทรงได้รับจากกษัตริย์ซาอุดีอาระเบียพระองค์ก่อนให้แก่เธอ

“ดิฉันประหลาดใจมาก เพราะมันเป็นของขวัญจากพระเมตตาอันใหญ่หลวง” น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ กล่าว “ในปี 2011 พระองค์เริ่มตรัสถึงการสิ้นพระชนม์และพระประสงค์ที่จะจากไปโดยที่มีการทำพินัยกรรม”

“พระองค์ยังตรัสว่ามีพระประสงค์จะดูแลดิฉัน แต่ไม่เคยมีการพูดถึงจำนวนเงิน พระองค์ทรงกังวลว่าครอบครัวของพระองค์จะไม่เคารพความประสงค์ของพระองค์”

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ เล่าว่าเธอได้รับเงินดังกล่าวหลังเกิดเหตุการณ์บุกรุกและรื้อค้นอะพาร์ตเมนต์ของเธอในโมนาโก และการเยี่ยมเยือนจากหัวหน้า CNI

หลังจากการโอนเงิน นักธุรกิจหญิงเชื้อสายเดนมาร์กผู้นี้ได้เดินทางไปกรุงมาดริดเพื่อขอบคุณกษัตริย์สเปน โดยเธอเล่าว่า พระองค์ตรัสกับเธอว่าทรงรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ “ดิฉันคิดว่าพระองค์ทรงช็อกกับแรงกดดันที่ดิฉันได้รับ และความเสียหายต่อชื่อเสียงที่เกิดขึ้น”

ในคำให้การที่เธอกล่าวต่ออัยการสวิตเซอร์แลนด์ น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ ระบุว่า เธอเชื่อว่ากษัตริย์ฮวน คาร์ลอส พระราชทานเงินให้เธอโดยเสน่หา

สำนักพระราชวังสเปนได้เปิดเผยว่าอดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงย้ายออกนอกประเทศไปพำนักในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

“ดิฉันคิดว่ามันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าดิฉันมีความหมายต่อพระองค์เพียงใด มันคือการขอบคุณสำหรับการเฝ้าดูแลพระองค์ในช่วงเวลาเลวร้ายที่สุด”

เธอยืนกรานว่ากษัตริย์สเปนไม่ได้ทรงพยายามซุกซ่อน หรือฟอกเงินก้อนนี้ด้วยการถ่ายโอนให้แก่เธอ แม้พระองค์จะทรงทวงเงินคืนในปี 2014 ก็ตาม แต่เธอเชื่อว่าที่ทรงทำเช่นนั้นเพราะไม่พอพระทัยที่เธอไม่ยอมกลับไปคืนดีกับพระองค์

“พระองค์ยืนยันต่อเจ้าหน้าที่สอบสวนในสวิตเซอร์แลนด์ว่าทรงไม่เคยทวงเงินคืน และดิฉันไม่ได้ถือครองเงินแทนพระองค์”

น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ เชื่อว่าการที่สังคมยังคงจับจ้องในตัวเธอและเงินก้อนดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นฝีมือของ CNI หน่วยงานด้านข่าวกรองของสเปน พร้อมชี้ว่าการคุกคามไม่เคยหยุดหย่อน และมีแต่จะรุนแรงขึ้น

เธอได้แสดงให้บีบีซีดูหมายเลขการแจ้งเหตุอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการคุกคามเธอในสหราชอาณาจักรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ดร.รูเอดา ผู้เชี่ยวชาญด้านหน่วยข่าวกรองสเปน ตั้งคำถามต่อข้อกล่าวอ้างดังกล่าว

ดร.เฟอร์นันโด รูเอดา ผู้เชี่ยวชาญด้านหน่วยข่าวกรองสเปน ตั้งคำถามต่อข้อกล่าวอ้างการถูกคุกคามของ น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์

“มันไม่มีเหตุผลที่หน่วยสืบราชการลับของสเปนจะตามคุกคามเธอในสหราชอาณาจักรหลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ได้ถูกเปิดโปงสู่สาธารณชนไปแล้ว สิ่งที่เธอกำลังทำคือการปกป้องตัวเอง และแสดงว่าเธอเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ” เขาแสดงความเห็น

“ปัญหาของคอรินนาคือเธอกำลังเผชิญการดำเนินคดีทางกฎหมาย และเธอพยายามอธิบายและสร้างความชอบธรรมในการที่เธอได้เงิน 65 ล้านยูโร เธออาจถูกตั้งข้อหา แต่กษัตริย์ฮวน คาร์ลอส จะไม่ทรงถูกตั้งข้อหาตามกฎหมายสเปน”

แม้จะต้องเผชิญปัญหาทางกฎหมาย แต่ น.ส.ซู ซาย์น-วิตต์เก็นสไตน์ บอกว่าเธอไม่เคยเคลือบแคลงใจในความสัมพันธ์ช่วงต้นที่มีกับอดีตกษัตริย์สเปน

“ดิฉันไม่เสียใจเลยกับการมีความสัมพันธ์กับ ฮวน คาร์ลอส” เธอบอก “ดิฉันมีความรู้สึกอย่างแท้จริงต่อพระองค์ และเสียใจมากที่มันออกมาในรูปนี้”

ที่มา- https://www.bbc.com/thai/international-53851652