ส.อ.ท.หวั่น รัฐบาลตรึงราคาพลังงานไม่ได้ กระทบภาคครัวเรือนแน่

  • เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อ
  • ต้นทุนของทั้งสินค้าและบริการแพงขึ้น
  • ทำให้รายได้ของประชาชนลดลง

วันที่ 13 มีนาคม 2565 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กรณีรัฐบาลส่งสัญญาณตรึงราคาพลังงานได้ถึงเดือนพฤษภาคมนี้เท่านั้น จากนั้นอาจปรับขึ้นพลังงานต่างๆ มองว่า การปรับขึ้นทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และค่าไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะตรึงราคาได้นานเท่าใด หากทำได้ถึงเพียงเดือนพฤษภาคมนี้ ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจะดันให้ราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานปรับสูงมากขึ้น

จากภาวะปัจจุบันที่สินค้าหลายชนิดปรับราคาแพงขึ้นมาแล้วในปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนของทั้งสินค้าและบริการที่ปรับแพงขึ้น จะส่งผลกระทบแบบทันทีกับประชาชน เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้รายได้ของประชาชนลดลง และยังไม่กลับมาเท่าช่วงปี 2562 หรือช่วงก่อนเกิดโควิดได้ แต่ท่ามกลางรายได้ที่ไม่เท่าเดิมนั้น ค่าครองชีพกลับปรับขึ้นแบบสวนทางกัน

นายสุพันธุ์กล่าวว่า รัฐบาลจะขยายการพยุงราคาพลังงานไป ผ่านการกู้เงินเข้ามาเสริม เพื่อช่วยลดผลกระทบของประชาชน แต่ยังคาดหวังว่าภายใน 2 เดือนต่อจากนี้ ราคาพลังงานจะปรับลดลงมา โดยเฉพาะราคาน้ำมันโลก เนื่องจากคาดการณ์ว่าสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน จะไม่ยืดเยื้อและบานปลายมากไปกว่านี้ โดยเบื้องต้นมองว่า ราคาน้ำมันดิบควรเคลื่อนไหวอยู่ในบริเวณ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เหมือนช่วงภาวะปกติที่ผ่านมา ส่วนราคาน้ำมันในประเทศ หากสามารถประคองให้ราคาอยู่ประมาณ 30 บาทต่อลิตร ได้ ก็ถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม เนื่องจากจะเป็นระดับที่ไม่สร้างผลกระทบให้กับประชาชน และภาคธุรกิจด้วย

ขณะนี้มองว่าค่าไฟฟ้าเป็นตัวสำคัญที่สุด หากมีการปรับขึ้นจะทำให้อยู่กันไม่ได้ แต่ความเป็นห่วงจริงๆ อยู่ที่ภาคประชาชนมากกว่า เพราะค่าครองชีพจะแพงขึ้น ทั้งที่รายได้ยังมีเท่าเดิม หากจะปรับขึ้นจริง อยากให้รัฐบาลศึกษาผลเกี่ยวเนื่อง และทยอยปรับแบบเป็นขั้นบันไดมากกว่า ส่วนข้อเสนอได้นำเสนอรัฐบาลไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา อาทิ การเปิดประเทศเพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีคุณภาพเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย การสนับสนุนภาคการส่งออกไทย เพื่อค้าขายสินค้าในต่างประเทศ รวมถึงดึงนักลงทุนที่สนใจในการย้ายฐานการผลิต หรือต้องการหาแหล่งลงทุนใหม่เข้ามาลงทุนในไทย ทั้งสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น เพราะที่ผ่านมาเจอปัญหาทั้งสงครามการค้า (เทรดวอร์) เบร็กซิท การเมืองระหว่างประเทศ ทำให้รัฐบาลควรใช้จังหวะนี้ในการดึงดูดนักลงทุนเข้ามามากขึ้น