สุดระทม! ชีวิตแคมป์คนงานหลังล็อกดาวน์ ผ่านไป 10 วัน ต้องนอนเต็นท์ปูนร้อนจัด-ไร้อาหาร3มื้อ

วันที่ 8 ก.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือ แจ้งว่าขณะนี้กำลังเกิดปัญหาขึ้นในแคมป์คนงานหลายแห่ง จากกรณีที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐสั่งปิดแคมป์คนงาน ล็อกดาวน์เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้หลังมาตรการดังกล่าวบังคับใช้ผ่านไปแล้วราว 10 วัน คือ ความทุกข์ทรมานของแรงงานในแคมป์ เพราะคนงานแคมป์มากกว่า 500 แคมป์รอบพื้นที่กรุงเทพฯที่ถูกสั่งปิด กำลังอยู่ในความทุกข์จากการถูกจำกัดพื้นที่ ความหิวที่เกิดจากการขาดอาหาร และสภาพที่อยู่อาศัยซึ่งไม่ได้เอื้อให้อยู่เป็นเวลานาน ทั้งกลางวัน กลางคืน และยิ่งเลวร้ายเมื่อฝนตก

สำหรับเรื่องรายได้ของแรงงานยิ่งเดือดร้อนหนัก เพราะคนงานในแคมป์ส่วนใหญ่รับค่าแรงวันต่อวัน แคมป์ที่ไม่พบผู้ป่วยโควิดก็ขาดรายได้ แม้จะออกจากแคมป์ได้ แต่ก็ไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย เงินเยียวยา 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 7,500 บาท สำหรับคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมจากที่สำรวจ 100% แจ้งว่ายังไม่ได้รับ

ส่วนคนส่วนใหญ่ซึ่งอยู่นอกระบบรายรับเป็น 0 มา 10 วันแล้ว ส่วนการลงพื้นที่ของสาธารณสุขเข้าไปตรวจสอบโรค ก็เกิดขึ้นเพียงบางแคมป์ ยังไม่ครอบคลุม

ยกตัวอย่างความยากลำบากของแรงงาน กรณีแคมป์วิภาวดีซอย 20 มีแรงงานทั้งหมด 190 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ พบติดเชื้อโควิด 70 คน เจ้าหน้าที่ได้ทำการแยกตัวออกมา แต่ก็มานอนเต็นท์เขียวที่กางบนพื้นปูนช่วงกลางวันแดดออก ทำให้ร้อนจัดจนแทบไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ บางวันฝนตกลงมาน้ำท่วมผู้ป่วยต้องอยู่กับน้ำที่ท่วมเข้ามา บริษัทส่งอาหารปรุงสุกให้วันละ 1 กล่อง พร้อมอาหารแห้งจำนวนจำกัด

ด้านนายไชยวัฒน์ วรรณโคตร เลขาธิการคณะอนุกรรมาธิการศึกษาด้านแรงงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า จากรายงานของรัฐบาลแคมป์คนงาน กทม.และปริมณฑล มีมากกว่า 500 แคมป์ที่ถูกสั่งปิด สถานการณ์หลังสั่งปิดแคมป์คนงานเป็นเวลากว่าสิบวัน หลังจากวันแรกที่สั่งปิดผมได้ลงพื้นที่ไปที่แคมป์คนงานแถวบางกะปิ แคมป์ที่มีข่าวว่าข้าว 50 กล่องคน 400 คน พอลงพื้นที่ไปหน้างานก็ได้คุยกับหัวหน้าคนงานที่ดูแล พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในแคมป์ คือ รัฐบาลสั่งทหารเข้ามาปิดล้อมแคมป์โดยที่ในแคมป์มีทั้งผู้ป่วยโควิดที่ได้รับการตรวจแล้ว และยังไม่ได้ตรวจปนกันอยู่ดังนั้นการจับเขารวมกันในแคมป์ที่แออัดมันส่งผลให้ทุกคนตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหมด สิ่งแรกที่รัฐบาลควรทำไม่ใช่ให้ทหารมาปิดล้อมแต่ควรจะส่งทีมสาธารณสุขเข้ามาตรวจเชิงรุก ส่งยาให้ผู้ป่วย ส่งอาหารมาบริการ หรือมาจัดระเบียบโซนในแคมป์ระหว่างคนป่วยและคนไม่ป่วย

ไชยวัฒน์ระบุ ต่อว่า “วันนี้ผ่านมาสิบวัน ทุกอย่างแทบจะเหมือนเดิม ‘คนงานถูกทิ้ง’ มีการส่งทีมงานสาธารณสุขลงไปทำ Swab Test บ้างในบางแคมป์แต่ก็ยังไม่มากนักทุกวันนี้ยังไม่มีตัวเลขเปิดเผยออกมาเลยว่าตรวจไปแล้วกี่แคมป์ กี่คน สภาพแวดล้อมภายในแคมป์ย่ำแย่ลงเนื่องจากปกติแคมป์คนงานมีสภาพแออัดอยู่แล้วเมื่อพบผู้ป่วย ผู้ป่วยในหลายแคมป์ก็ต้องถูกแยกออกไปนอนเต็นท์เขียว พื้นปูน กลางวันแดดออกก็ร้อน กลางคืนหนาว ฝนตกน้ำก็ท่วมเข้ามาในเต็นท์ จุดนี้ยังไม่มีใครเข้าไปดูแล เงินเยียวยาประกันสังคม ที่จะจ่าย 50% ของรายได้แต่ไม่เกิน 7,500 บาท เท่าที่สอบถามตอนนี้ผ่านมาสิบวันก็ยังไม่มีใครได้รับ ยังไม่รวมถึงคนงานนอกระบบที่มีเงื่อนไขเต็มไปหมดในการรับเงินเยียวยาสูงสุดจากรัฐบาล 2,000 บาท”

ส่วนเรื่องอาหารการกินรัฐบาลพูดอย่างดิบดีว่าการล็อกครั้งนี้จะมีอาหารให้สามมื้อแต่สุดท้ายโยนให้ผู้ประกอบการ เจ้าไหนดีหน่อยก็มีอาหารส่งให้วันละ 1 มื้อ เจ้าไหนแย่ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ก็ปล่อยทิ้งเลยหรือไม่ก็มีอาหารแห้งมาให้บ้าง ตอนนี้คนงานหลายแคมป์คอยรับของบริจาคเสี่ยงโชคว่าวันไหนจะมีข้าวกินบ้าง แคมป์ไหนที่ไม่มีโควิดแม้จะออกไปซื้อของได้บ้างเนื่องจากไม่มีทหารเฝ้าแต่ตอนนี้ก็ไม่มีเงินจะซื้อแล้วเพราะคนงานก่อสร้างส่วนใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติเป็นคนงานทำงานรายวัน