สาวอเมริกัน ระบุเธอรู้สึกมีความปลอดภัยในเอเชียมากกว่าในสหรัฐ ท่ามกลางวิกฤตหนักวันเดียวในสหรัฐติดเชื้อโควิด-19ถึง 7,369 ราย

นิวยอร์คโพสต์ ได้นำเสนอเรื่องราวของสาวอเมริกัน รายหนึ่งชื่อ “เอฟเวอรี่  สลัทเชอร์” วัย 18 ปี จากเมืองซินซินนาติ รัฐโฮไฮโอ ได้เดินทางมาท่องเที่บวในภูมิภาคเอเชีนตะวันออกเฉียงใต้ ระบุถึงมาเที่ยวที่อินโดนีเซียและไทย เป็นระยะเวลานานกว่า 3 เดือนและเพิ่งจะกลับไปยังสหรัฐเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่า เธอรู้สึกตกใจทันทีที่ถึงสนามบิน LAX เมืองลอสเองเจอลิส กับมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในสนามบินแห่งนี้ซึ่งเป็นประตูหน้าด่านที่สำคัญเข้ายังไปในประเทศสหรัฐฯ 

เธอระบุว่า เมื่ออยู่ในประเทศอินโดนีเซีย พนักงานบนเรือจะไม่ให้ขึ้นเรือหากไม่ได้รับการตรวจวัดไข้ก่อน ในสนามบินบาหลีมีจุดบริการเจลล้างมือทั่วสนามบิน

สัปดาห์ที่ผ่านมา เธอบินจากเชียงใหม่ไปภูเก็ต ผ่านทางสนามบินภายในประเทศ เจ้าหน้าที่สนามบินได้ทำการตรวจวัดไข้ ผู้คนมองหน้าผู้ที่ไม่สวมหน้ากากซึ่งมีจำนวนน้อย และคุณจะเจอป้ายเตือนทั่วสนามบิน คุณกำลังเหงื่อออก คุณกำลังไอ หรือคุณกำลังไออยู่หรือไม่ ในสนามบินกรุงเทพเจ้าหน้าที่สนามบินเดินไปรอบ ๆ แจกจ่ายเจลล้างมือ

แต่เมื่อเส้นทางบินกลับบ้านที่สนามบิน LAX  เธอได้กรอกใบแสดงข้อมูลตรวจสุขภาพที่สนามบิน ซึ่งมีคำถามระบุว่าการอาการไอหรือมาีไข้หรือไม่ และได้เดินทางไปยังประเทศในรายชื่อที่เป็นประเทศที่มีการแพร่เชื้อหรือไม่ และถูกระบุว่าจะมีเจ้าที่หน้าคัดกรองจะเป็นผู้เก็บข้อมูลสุขภาพของแต่ละคนเพื่อวัดไข้และประเมินสุขภาพโดยรวม แต่ข้อมูลที่ตนกรอกไปไม่ได้ถูกเก็บไปและตนเองก็ไม่ได้ถูกคัดกรองแต่อย่างใด ทำให้รู้สึกค่อนข้างตกใจ

จากนั้นเดินไปตรงจุดตรวจของศุลกากร ทางเจ้าหน้าที่ถามว่าไปไหนมา เธอตอบว่าไปเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีที่ผ่านมา ทันทีเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็ผายมือให้เธอผ่านด่านไปโดยพูดว่า “ยาเสพติด! ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” 

ต่อจากนั้นเธอได้ต่อเครื่องบินไปยังสนามบินเดนเวอร์ ต่อเครื่องไปยังเมืองซินซินนาติ พบว่าลูกเรือทั้งสองไฟล์ทไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย 

เธอระุว่า สนามบินที่นี่ไม่ได้ใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดพื้นฐาน พวกเขาควรจะมีเจลล้างมือทั่วทุกมุม ตรวจสอบผู้คนและตรวจไข้ 

ทำให้เธอรู้สึกว่ามีความปลอดภัยในเอเชียมากกว่าในสหรัฐ 

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศสหรัฐ ล่าสุดวันที่ 22 มีนาคม 2563 นับว่าเข้าขั้นวิกฤต เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื่อพุ่งสูงถึง 26,779 ราย เพิ่มขึ้นถึง 7,369 ราย นับเป็นตัวเบลขการแพร่เชื้อสูงสุดในวันเดียว เสียชีวิต 344 ราย  ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สามของประเทศผู้ติดเชื้อสูงสุดคือ จีน, อิตาลี, สหรัฐ, สเปน และเยอรมัน