- อัดฉีดงบพัฒนาเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ เกษตรแปรรูป
- “สุริยะ”เยือนจีนดึงทัพลงทุนแดนมังกรก.ย.นี้
- รับการบ้านทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมกลับมาเป็นเกรดเอ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า ได้ขอให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม จัดตั้งทีมงานทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในไทยเนื่องจากขณะนี้การลงทุนเริ่มย้ายฐาน การผลิตไปยังเวียดนามมากขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงไม่เช่นนั้น เวียดนามอาจแซงไทยได้ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิประโยชน์การลงทุน ที่จะต้องปรับให้เหมาะสม
“เมื่อเร็วๆนี้ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยได้เข้าหารือกับผม โดยสหรัฐฯ มองว่าประเทศไทยเป็นแกนหลัก และผู้นำในภูมิภาคอาเซียนในขณะนี้ หลังจากที่ประเทศได้ผลักดัน ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มแม่น้ำอิระวะดี-เจ้าพระยา-แม่โขง(ACMECS )ซึ่งสหรัฐฯต้องการสนับสนุน ยุทธศาสตร์อินโดจีน-แปซิฟิก หลังจากที่จีนก็มี โครงการ หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (One Belt, One Road )ซึ่งทำให้นักลงทุน มีความสนใจเข้ามาในไทยมากขึ้น จึงควรใช้จังหวะนี้ ดึงการลงทุนและก้าวข้ามเวียดนามให้ได้”
นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับการจัดสรร งบประมาณในการดำเนินการโครงการต่างๆ ค่อนข้างต่ำปีละ5,000 ล้านบาท อาจเป็นเพราะเสนอโครงการขอรับการส่งเสริมในโครงการ เดิมๆไม่มีการปรับปรุงใหม่ ให้เข้ากับสถานการณ์โลกที่เปล่ียนแปลงไป ดังน้ัน จากนี้ไปจะต้องปรับการทำงานให้สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจโลก ที่ถดถอย โดยหันมาพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)และผู้ประกอบการรายใหม่(สตาร์ทอัพ)ที่เน้นนวัตกรรม ผ่านการทำงานร่วมกับบริษัทอินโนสเปซ (ไทยแลนด์)จำกัด หรือไทยแลนด์ ไซเบอร์พอร์ต
ขณะเดียวกัน ก็จะต้องมุ่งการพัฒนา ให้เชื่อมโยงกับเกษตรแปรรูปเพิ่มมูลค่า และธุรกิจบริการโดยเฉพาะการขับเคลื่อนไปสู่คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ เพื่อก้าวสู่ศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน เพื่อทำให้กระทรวงอุตสาหกรรม กลับไปสู่การเป็นกระทรวงเกรดเอเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
“ผมเสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการดึงการลงทุนเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพ เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรโดยเฉพาะอ้อย และปาล์มน้ำมัน ซึ่งบีโอไอต้องปรับแพคเกจ ส่งเสริมการลงทุนให้เป็นรูปแบบคลัสเตอร์ ที่ไม่ได้มองการดึงลงทุนเฉพาะธุรกิจคนไทย แต่ต้องมองต่างประเทศเข้ามาร่วมด้วย”
ขณะเดียวกันในส่วนของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)ต้องปรับบทบาทการพัฒนาพื้นที่รองรับการลงทุนของเอสเอ็มอี โดยเฉพาะนิคมฯในเขตพื้นที่อีอีซีซึ่งนิคมฯของเอกชนมีการยกระดับที่มุ่งรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ทำให้เอสเอ็มอี ไม่อาจเข้าไปเช่าดำเนินธุรกิจได้เพราะราคาค่าเช่าสูงขึ้นมาก
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงฯเตรียมไปโรดโชว์เพื่อดึงการลงทุนร่วมกับบีโอไอ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มไปยังประเทศจีนก่อนในเดือนก.ย.นี้ และพร้อมที่จะมุ่งเน้นการนำงบประมาณ ที่ล่าสุดกระทรวงฯได้ยื่นขอต่อสำนักงบประมาณปี 2563 วงเงิน 14,000 ล้านบาท มาใช้พัฒนาเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพและเกษตรแปรรูป
สำหรับกรณีเหมืองทองคำชาตรีของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด ล่าสุด บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด จำกัดจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของอัคราฯได้ติดต่อมา เพื่อขอเจรจากับกระทรวงอุตสาหกรรม ก่อนที่จะขึ้นศาลที่ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 18 พ.ย. นี้ ซึ่งตนจะมีการหารือกับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ก่อนเพื่อดูข้อมูลท้ังหมด
“แม้ว่าขณะนี้ข้อพิพาทดังกล่าว จะเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการแล้ว แต่การติดต่อมาแบบนี้ผมว่าถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่เราได้เปิดโอกาสได้หารือเจรจากันก่อนที่จะขึ้นศาล เพราะทั้ง 2 ฝ่ายไม่อยากให้ไปถึงการต่อสู้ในศาล ผมจะได้นัดวันเวลาในการหารือร่วมกับคิงส์เกตในเร็วๆนี้