สบน.เผยไทยแบกภาระหนี้สาธารณะแค่ 6.3 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่กู้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

  • ปี 64 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 56%
  • ไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง

นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) กล่าวว่า สำหรับหนี้สาธารณะของไทย 8.1 ล้านล้านบาทนั้น คิดเป็น 51.9% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) นั้น ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกิดการกู้เงินมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและกู้เพื่อเศรษฐกิจและสังคม เช่น สถานีกลางบางซื่อ ที่กำลังจะเปิดใช้บริการ ถนนวงแหวน เป็นต้น ซึ่งเป็นการสร้างงาน และทำให้เอกชนมีสภาพคล่อง รวมทั้งบางโครงการมีผลตอบแทนให้แก่รัฐบาลในภายหลังด้วย

“ปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทย 77% ของพอร์ตหนี้สาธารณะเป็นการกู้ตรงหรือกู้เนื่องจากรัฐบาลออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)เงินกู้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้นหนี้ที่รัฐบาลต้องแบกรับทั้งหมดคือ 6.3 ล้านล้านบาท จากหนี้สาธารณะทั้งหมด 8.1 ล้านล้านบาท อีกส่วนจะเป็นเงินที่รัฐวิสาหกิจกู้ ซึ่งรัฐวิสาหกิจจะใช้เงินรายได้ชำระด้วยตัวเองไม่กระทบหนี้สาธารณะภาพรวม”

ส่วนระดับหนี้สาธารณะของไทยในปีงบประมาณ 2564 นี้ จะอยู่ในกรอบความวินัยการเงินทางการคลังไม่เกิน 60%ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 56% อย่างไรก็ตาม ระดับหนี้สาธารณะของไทยปรับตัวสูงขึ้นจากระดับประมาณ 40% ต่อจีดีพีหลังจากรัฐบาลใช้พ.ร.ก.เงินกู้ฉุกเฉินวงเงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อนำมาใช้เพื่อดูแลสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากเงินในงบประมาณปี 2564 ไม่เพียงพอ

ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะของไทยสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เช่น ตลาดเกิดใหม่และประเทศในเอเชียเฉลี่ยการก่อหนี้อยู่ที่ 67% จากเดิมอยู่ที่ 60% เป็นต้น

สำหรับกฎหมายวินัยการเงินการคลังภาครัฐปี 2561 กำหนดสัดส่วนการก่อหนี้สาธารณะไว้ที่ 60%ต่อจีดีพี เพื่อเป็นเสมือนระบบเตือนภัย ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติหากมีการก่อหนี้ถึง 60% จะถือว่าประเทศมีความเสี่ยงมาก แต่ในช่วงโควิด-19 แม้เพดานหนี้จะดันสูงก็ไม่น่าห่วง เพราะการกู้เงินเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะทำให้จีดีพีไม่หดตัวลง

“เราใช้นโยบายการบริหารหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบ เพราะเคยมีประสบการณ์การกู้ต่างประเทศ ซึ่งทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้นมาก โดยในช่วงตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ก็มีการปรับกฎหมายหลายตัวเพื่อให้รัฐบริหารหนี้อย่างรอบคอบ ตอนนี้ถือว่าไทยยังมีเครดิตดี เพราะเราบริหารได้ดี และสถานะการคลังยังแข็งแกร่ง”