สธ.จับตารายสัปดาห์ หลังโควิดสายพันธุ์อินเดียโผล่ไทยอีก 137 ราย-เชื้อแอฟริกาใต้พบเพิ่ม 2 ราย

วันที่ 16 มิถุนายน 2564 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่า จากการตรวจสอบสายพันธุ์เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ที่พบในประเทศไทย จากตัวอย่างเชื้อที่ส่งเข้าไปยังกรมวิทยาศาสตร์ฯ ระหว่างวันที่ 7 เมษายน – วันที่ 13 มิถุนายน จำนวน 5,055 ตัวอย่าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อัลฟ่า (อังกฤษ) 4,528 ราย คิดเป็น 89.6% สายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) เพิ่มขึ้นจาก 359 ราย ที่รายงานไปก่อนหน้านี้ เป็น 496 คน หรือเพิ่มขึ้นอีก 137 ราย

สำหรับพื้นที่ที่พบสายพันธุ์เดลต้ามากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร สะสม 404 ราย โดยเป็นรายใหม่ 86 ราย และยังพบ 10 ราย ในโรงพยาบาล (รพ.) กลางกรุงเทพฯ 3-4 แห่ง อัตราการเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น  9.8% นอกจากนี้ ยังพบที่ จ.ปทุมธานี 28 ราย จ.นครนายก 8 ราย จ.สกลนคร 3 ราย จ.พะเยา 2 ราย จ.อุบลราชธานี 2 ราย จ.เชียงราย จ.เพชรบูรณ์ จ.ชลบุรี จ.จันทบุรี จ.ขอนแก่น จ.อุดรธานี จ.เลย และ จ.บุรีรัมย์ จังหวัดละ 1 ราย

ขณะที่สายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) ที่เริ่มพบที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เดิมพบ 26 ราย ขณะนี้พบเพิ่มอีก 2 ราย นอกพื้นที่ อ.ตากใบ แต่ยังอยู่ใน จ.นราธิวาส ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังพบอีก 3 ราย ในสถานกักกันตัวของรัฐ จ.สมุทรปราการ ด้วย

“ความสามารถในการแพร่เชื้อของสายพันธุ์เดลต้า มากกว่าสายอัลฟ่า 40 %  ซึ่งต้องมีการจับตาอย่างใกล้ชิดเป็นรายสัปดาห์ หากสถานการณ์ยังทรงๆ อาจจะไม่มีปัญหา แต่หากยังมีการแพร่ระบาดแบบก้าวกระโดด คาดว่าประมาณ 2-3 เดือน อาจจะเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดมากขึ้น สัดส่วนครึ่งต่อครึ่งกับสายพันธุ์อัลฟ่า ส่วนในต่างจังหวัดที่พบเชื้อสายพันธุ์เดลต้านั้น พบว่ามีความเชื่อมโยงกับผู้ติดเชื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ มาก่อน โดยเฉพาะแคมป์คนงานหลักสี่” นพ.ศุภกิจ กล่าวและว่า ข้อมูลที่กรมวิทยาศาสตร์ฯ ออกมารายงานให้ทราบสม่ำเสมอนั้น ไม่ได้ต้องการทำให้ตกใจ แต่เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา การเฝ้าระวังเพื่อการควบคุมโรค”

นพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ขณะนี้มีการศึกษาวิจัยการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ใน 200 คน โดยนำเลือด หรือซีรั่ม มาตรวจสอบกับเชื้อโควิดสายพันธุ์ต่างๆ พบว่าเมื่อตรวจพบเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม พบว่ามีภูมิขึ้นสูง 100% สายพันธุ์อัลฟ่า ภูมิขึ้น ร้อยละ 50-60 จะมีตรวจเพิ่มเติมในผู้ที่ฉีดครบ 2 เข็มแล้วเป็นเวลา 3 เดือน 6 เดือน อีกครั้ง และขณะนี้กำลังทดสอบในคนฉีดวัคซีนของแอสตร้าฯ 1 เข็ม รวมทั้งจะทำการทดสอบกับเชื้อเดลต้า และเบต้า เพื่อดูถึงประสิทธิภาพวัคซีนที่ได้รับขณะนี้

ด้าน นพ.อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า การตรวจสายพันธุ์ต่างๆ เป็นการสุ่มตรวจเพื่อเป็นแนวทางเฝ้าระวัง โดยจะสุ่มตัวอย่างจาก 1.กลุ่มที่มีอาการรุนแรง 2.กลุ่มที่มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ 3.พื้นที่ที่ไม่เคยระบากแต่มีการพบเชื้อ 4.ตามชายขอบชายแดน และ 5.กลุ่มที่ได้รับวัคซีนแล้วยังติดเชื้อ