“วิษณุ”รับเสียบบัตรแทนส่อทำงบประมาณปี63ล่าช้า

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ถึงกรณีเสียบบัตรลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 แทนกันของ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย จนอาจทำให้การประกาศใช้พ.ร.บ.งบประมาณฯล่าช้าออกไป ว่า กรณีนี้ขอให้แยกออกเป็น 2 เรื่อง คือ 1.ต้องไปดูกันว่าการแสดงตนหรือการใช้สิทธิ์ของ ส.ส.ในการลงมติ ได้ทำถูกต้องหรือไม่ หรือมีการเสียบบัตรแทนกันหรือไม่ 2.ผลจากการนี้จะกระทบต่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯดังกล่าวอย่างไร แม้จะเกี่ยวกันแต่ต้องแยกกันเป็นคนละประเด็น เพราะความผิดต่างกัน โทษต่างกัน ผลกระทบต่างกัน ในกรณีของการกระทำนั้นจะเป็นความผิดหรือไม่นั้นอยู่ที่ทางสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ตรวจสอบ ทราบในเบื้องต้นว่า ประธานสภาฯมอบหมายให้เลขาธิการสภาไปดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและได้ทราบผลมาในระดับหนึ่งแล้ว 

นายวิษณุ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงได้มีปรากฏออกมาในข่าวว่า มีการเสียบบัตรคาทิ้งไว้ โดยที่เจ้าของบัตรไม่ได้มอบหมายหรือวานให้ใครกดแทน ตรงนี้จริงหรือไม่ยังไม่ทราบ ขณะเดียวกัน มีปัญหาว่าเมื่อมีการเสียบบัตรทิ้งไว้เจ้าหน้าที่ของสภาฯได้เดินตรวจตราแล้วเก็บกลับออกมาตามวิธีปกติหรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ระบุว่าเก็บแล้วเหตุใดจึงยังมีบัตรเสียบคาไว้อยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีบุคคลอื่นนำบัตรไปเสียบลงคะแนนให้ในทีหลัง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ได้เก็บ บัตรดังกล่าวยังเสียบคาไว้ที่เครื่อง ซึ่งถ้าไม่มีใครนำไปกดรหัสสัญญาณจากตรงนั้นจะปรากฏออกมาได้อย่างไร เรื่องดังกล่าวต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนจะเกิดผลกระทบอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงตรงนั้นเป็นสำคัญ 

รองนายกฯ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เคยมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ใน 2 เรื่อง เรื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2556 คราวที่มีการขอแก้ไขและธรรมนูญ ครั้งนั้นมีการกล่าวหาหลายเรื่อง รวมถึงการลงมติและมีการเสียบบัตรแทนกัน และมีการวิจารณ์เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในครั้งนั้นว่า ขัดรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง ส่วนเรื่องของการเสียบบัตรแทนกันในครั้งนั้น นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย นำบัตรลงคะแนนของ ส.ส.คนอื่นประมาณ 4-5 คน ไปเดินเสียบลงคะแนน จึงถูก น.ส.รังสิมา รอดรัศมี สส. สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ถ่ายคลิปวิดีโอไว้ แล้วถูกนำไปเปิดแฉในชั้นศาล ทำให้สารเชื่อได้ว่ามีการเสียบบัตรแทนกันจริง ศาลจึงใช้หลัก 3 ข้อมาวินิจฉัย 

รองนายกฯ กล่าวอีกว่า คือ 1.ส.ส.หนึ่งคนมีสิทธิ์ลงคะแนนหนึ่งเสียง แต่เมื่อนำบัตรของคนอื่นไปเสียบแทนแสดงว่าบุคคลนั้นใช้สิทธิ์เกินหนึ่งเสียง ถือเป็นความผิด 2.ส.ส.ได้มีการปฏิญาณตนแล้วว่าจะต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่เมื่อปฏิบัติงานออกมาแบบนี้ ถือว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริต 3.ส.ส.จะต้องมีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ในอาณัติของใคร การนำบัตรไปให้ใครเสียบลงคะแนนแทน แล้วบุคคลนั้นนำไปเสียบแทนถือเป็นการครอบงำบุคคลอื่น ศาลจึงใช้หลักการทั้งสามข้อนี้วินิจฉัยเฉพาะเรื่องการลงมติว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และลำพังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้กฎหมายฉบับนั้นตกไป แต่ที่ร่างกฎหมายนั้นตกไป เพราะมีปัจจัยอื่น 4-5 สาเหตุมาประกอบกัน

นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนกรณีปี 2557 ผู้กระทำเป็นคนเดียวกันคือ นายนริศร  เป็นการกระทำในเวลาที่ต่อเนื่องกัน  โดยเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. … ถูกร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญด้วยสองประเด็นหลัก คือ 1.กล่าวหาว่ามีการเก็บบัตรแทนกัน 2.การที่ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังไปกู้เงิน เป็นการทำที่ไม่ผ่านวิธีการงบประมาณ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า เรื่องอย่างนี้ต้องใช้กฎหมายงบประมาณเท่านั้น ส่วนในเรื่องของการเสียบบัตรแทนกันนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้หลักการสามข้อข้างต้น มาพิจารณา แล้ววินิจฉัยว่าการลงมติในวันนั้นมิชอบ 

“กรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ มีทั้งส่วนที่เหมือนและต่างกับในอดีต ซึ่งผมไม่ขอตอบและไม่ชี้นำว่าผลจะเป็นประการใด หรือจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ต้องรอให้สภาฯสรุปผลสอบข้อเท็จจริงออกมาให้ได้เสียก่อนว่าเป็นการเสียบบัตรแทนกัน หรือเสียบคาไว้ หรือเป็นความบกพร่องของระบบเครื่องลงคะแนน และเมื่อได้ความกระจ่างแจ้งออกมาอย่างไรแล้วก็จะเห็นว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างจากในอดีต”นายวิษณุ กล่าว 

นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า กรณีเมื่อปี 2556 และ 2557 เป็นการเสียบบัตรแทนกันหลายใบ ขณะนั้นศาลเชื่อว่าอาจจะมีมากกว่า 4-5 ใบ แต่กรณีล่าสุดนี้มีความชัดเจนว่ามีเพียงหนึ่งใบ เว้นแต่จากนี้ไปจะปรากฏความชัดเจนออกมาว่ามีใบที่ 2 หรือ 3 ตามมาสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ตนอยากให้สื่อมวลชนได้เห็นความแตกต่าง อย่างไรก็ตาม หากใครยังรู้สึกมีความคลางแคลงใจสามารถยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยผู้มีสิทธิ์ยื่นร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้จะมีทั้ง นายกรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว.ก่อนที่จะนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะฉะนั้นร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯจะโมฆะหรือไม่ อย่าเพิ่งไปใช้คำนั้น การลงมติแบบนั้นจะทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ถูกต้องไปด้วยหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

รองนายกฯ กล่าวว่า ข้อที่ควรจะเข้าใจต่อไปคือ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับกฎหมายสองฉบับในอดีต หากการลงมติที่ไม่ถูกต้องนั้นเกิดขึ้นในวาระสาม จะทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ถูกต้องทั้งฉบับ ก็ต้องจบไปทั้งฉบับ แต่กรณีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯนี้มีที่ต่างจากกฎหมายฉบับอื่น เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 143 กำหนดว่าสภาฯจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน แม้จะครบกำหนดเวลาถ้ายังไม่เสร็จต้องถือว่าเสร็จ หรือเห็นชอบตามที่รัฐบาลเสนอ จุดนี้เป็นสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องไปตีความให้รัฐบาลว่าตอนนี้เกินเวลา 105 วันมาแล้ว ถ้ามตินั้นไม่ถูก จะทำให้ร่างกฎหมายนั้นต้องเสียไปทั้งฉบับหรือเสียไปเฉพาะการลงมติวาระสองและวาระสามที่มิชอบนั้น หากถือว่ามตินั้นมิชอบ ก็เท่ากับว่าสภาฯไม่ได้พิจารณากฎหมายให้แล้วเสร็จ ภายใน 105 วัน

“ผมไม่ตอบ ไม่ชี้นำ ไม่วินิจฉัย และไม่รู้ สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นประเด็นที่จะต้องนำไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยในอดีตไม่ได้เป็นบรรทัดฐาน100% ต่อคดีในปัจจุบันทุกกรณี เว้นแต่ ศาลจะมองว่าเป็นรูปแบบเดียวกัน เพราะบางเรื่องกฎหมายก็ต่างกัน”นายวิษณุ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ระบุผลการตรวจสอบว่าเป็นการเสียบบัตรแทนกัน ไม่ใช่การเสียบบัตรคาเครื่องไว้ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องรอให้สภาฯมีผลการตรวจสอบออกมา แล้วนำผลดังกล่าวเข้าไปสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะแม้แต่ผู้ร้องคือนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็ให้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย อย่างไรก็ตาม หากมีการส่งเรื่องดังกล่าวไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แล้วศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้จะทำให้การออกประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ล่าช้าออกไป แต่ผลกระทบจากตรงนั้นคงไม่วิบัติอย่างที่ใครเขาคิดกัน  

“ถ้าสมมุติว่าศาลรัฐธรรมนูญให้ตัดออกไปได้ 1-2 เสียงก็จะโอเค แต่ถ้าศาลระบุว่า ใช้ไม่ได้ อาจจะกลับมาบอกผลว่า เป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งผมไม่ขอตอบว่า ผลจะเป็นอย่างไร มิเช่นนั้นจะมาหาว่าผมชี้นำ แต่ขอย้ำว่าไม่ต้องเกรงใจว่าจะเกิดผลกระทบอะไรที่มีลักษณะวิบัติ แต่ยอมรับว่าช้าแน่นอน เพราะติดขั้นตอนศาลรัฐธรรมนูญ” นายวิษณุ กล่าว 

เมื่อถามว่า ระหว่างรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย  ส่วนราชการจะสามารถนำงบประมาณประจำ มาใช้ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า  ไม่มีปัญหา รัฐธรรมนูญเขียนไว้แล้วว่าให้ใช้งบประมาณของปีเก่าไปพลางก่อน ขณะนี้เราก็ใช้มา 4 เดือนแล้ว 

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงถึงงบลงทุน นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องงบลงทุนนั้นเราพยายามไม่แตะ แต่ตอนนี้งบประจำสามารถนำมาใช้ได้ ทางสำนักงบประมาณได้เตรียมการไว้แล้ว ในเรื่องการใช้งบประจำ เช่น เงินเดือน  ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบหรือทำความเดือดร้อนอะไร  ส่วนโครงการก่อสร้างต่างๆขอให้รอไว้ก่อน