“ลุมพินี วิสดอม” เผยสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะก้าวสู่อุปกรณ์พื้นฐานในโครงการอสังหาฯ

  • ตอบโจทย์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
  • ชี้เป็นผลจากวิกฤตพลังงานที่เกิดขึ้น ผนวกกับนโยบายของรัฐบาล
  • ต้องการขับเคลื่อนให้ไทย เป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน
  • เผยสถานีชาร์จรถยนต์ EV กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ควบคู่การขับเคลื่อนประเทศ

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงแนวทางการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในปัจจุบัน เพื่อตอบโจทย์อนาคตว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันและอนาคตจำเป็นต้องมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในโครงการ ผลจากวิกฤตพลังงานที่เกิดขึ้น ผนวกกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน 

โดยกำหนดให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอยู่ที่ 1.2 ล้านคัน ในปี 2579 และจากรายงานของกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2562-2564 มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบ HEV (Hybrid Electric Vehicle), BEV (Battery Electric Vehicle), และ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) จดทะเบียนในประเทศรวมทั้งสิ้น 95,034 คัน

ทั้งนี้เฉพาะปี 2564 มีจำนวนยอดจดทะเบียนรถไฟฟ้าทั้ง HEV, BEV, PHEV ทั้งสิ้น 40,710 คัน เติบโต 43% จากปี2563 ในขณะตัวเลขยอดจองรถยนต์นั่งไฟฟ้า หรือ xEV ในงานมอเตอร์โชว์ เมื่อช่วงวันที่ 23 มี.ค.– 3 เม.ย. 65 ที่ผ่านมา มียอดจอง 3,100 คัน หรือคิดเป็น 10% ของยอดจองรถยนต์ทั้งหมดในงาน  

นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากแนวโน้มดังกล่าว ผนวกกับนโยบายของรัฐบาลสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ โดยประกาศลดอัตราภาษี และการยกเว้นภาษีอากรศุลกากร สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) กรณีรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน แบบแบตเตอรี่สำเร็จรูปที่นำเข้ามาทั้งคัน 20% – 40% ทางลุมพินี วิสดอม คาดว่ายอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้านั่งในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะเติบโตไม่น้อยกว่า 50% โดยประมาณว่าจะมีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 3 แบบไม่น้อยกว่า 61,065 คัน ทำให้ยอดรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนในประเทศไทยแตะระดับ 156,100 คัน

โดยการเติบโตของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทำให้ความต้องการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย โดยปัจจุบันจากรายงานของสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย Electric Vehicle Association of Thailand – EVAT ระบุว่าในปี 2564  (วันที่ 22 ก.ย.64) มีจำนวนสถานีชาร์จไฟ 693 แห่ง และมีหัวจ่ายประมาณ2,285 หัวจ่าย และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และหัวจ่ายในที่พักอาศัย ทั้งโครงการอาคารชุดและโครงการบ้านพักอาศัย เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย  

นอกจากนี้ จากผลการศึกษาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตระบุว่า การชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีอยู่ 3 รูปแบบ 

ประเภทที่ 1 : การอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าแบบใช้สาย เป็นรูปแบบการอัดประจุหลักที่ทั่วโลกนิยมใช้ เนื่องจากมีความคุ้มค่าในการลงทุน มีประสิทธิภาพสูง และสามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีการจัดการพลังงานได้ 

ประเภทที่ 2 : การอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าแบบไร้สาย โดยสามารถอัดประจุไฟฟ้าทั้งตอนจอดอยู่กับที่ หรือตอนกำลังเคลื่อนที่อยู่ ซึ่งปัจจุบัน พบว่ามี e-Road ซึ่งเป็นถนนที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่กลับเข้าไปในยานยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ตลอดทั้งเส้นทางในประเทศอิสราเอล โดยมีความยาวริเริ่มอยู่ที่ 600 เมตร อย่างไรก็ดี การอัดประจุรถไฟฟ้าแบบไร้สายในประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการทดลองและพัฒนา 

ประเภทที่ 3 : การสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swapping) ซึ่งเป็นการอัดประจุแบตเตอรี่ไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อรอการสับเปลี่ยนกับแบตเตอรี่ที่มีค่าสถานะของประจุที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ดี ระยะเวลาและความยากง่ายของการถอดแบตเตอรี่อัตโนมัติยังขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ด้วย ปัจจุบันจึงนิยมใช้วิธีการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่กับรถขนาดเล็กเช่น รถสองล้อไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 

จากผลการศึกษาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตระบุว่า สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภทใช้เงินลงทุนเฉลี่ยประมาณ 2-3 ล้านบาท ต่อการติดตั้ง AC 1 เครื่อง หรือ DC 1 เครื่อง พร้อมที่จอดรถ โดยมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 2-4 ปี  

อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มและผลการศึกษาดังกล่าว “ลุมพินี วิสดอมฯ” ได้ทำการศึกษาการออกแบบและพัฒนาพื้นที่โครงการอาคารชุดพักอาศัยใหม่ รวมทั้งการปรับปรุงพื้นที่ในโครงการอาคารชุดพักอาศัยเดิม เพื่อก่อสร้างสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักในการก่อสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในโครงการประกอบด้วย 

1.การสำรวจปริมาณการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตของผู้พักอาศัย เพื่อทราบถึงปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าที่แน่ชัด ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดสรรพื้นที่ที่เหมาะสมและไม่กระทบต่อจำนวนที่จอดรถยนต์ทั่วไปของผู้พักอาศัย 

2.การเลือกพื้นที่สำหรับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า สำหรับคอนโดมิเนียม ความเป็นส่วนตัว ของผู้พักอาศัย เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอย่างยิ่ง การเลือกพื้นที่ในการติดตั้งสถานีชาร์จ ควรเป็นพื้นที่บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่นบริเวณลานจอดรถที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้า-ออกของรถยนต์ แต่หากต้องการให้สถานีชาร์จสร้างรายได้จากการให้บริการบุคคลภายนอก พื้นที่ติดตั้งสถานี ควรอยู่บริเวณที่ไม่ส่งผลรบกวนต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้พักอาศัย เช่น บริเวณหน้าทางเข้าก่อนผ่านจุดรักษาความปลอดภัยหรือจุดสแกนบัตรเข้า-ออกของโครงการ ในกรณีที่โครงการมีพื้นที่ที่เหมาะสมและเพียงพอ 

3.การบริหารจัดการของนิติบุคคล เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้พักอาศัยทุกคน นิติบุคคลจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีมาตรการในการบริหารจัดการ ทั้งในด้านการบริหารพื้นที่จอดรถสำหรับรถยนต์ทุกประเภท การบริหารต้นทุนและรายได้จากสถานีชาร์จ รวมถึงการดูแลและซ่อมบำรุงสถานีชาร์จ ที่กล่าวมาข้างต้น ผู้พักอาศัยทุกคนมีส่วนได้ส่วนเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ทั่วไป การบริหารจัดการที่ดีและโปร่งใส นำมาซึ่งการรักษาผลประโยชน์ของผู้พักอาศัยทุกคน 

“สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยปัจจุบันสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) วางเป้าหมายในปี 2573 ไทยควรมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 567 แห่ง และเครื่องอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าแบบ Fast Charge 13,251 เครื่อง ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทย เน้นเข้าถึงง่าย ต้นทุนเหมาะสม จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งอาคารชุด และบ้านพักอาศัย ในการสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับแผนการพัฒนาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของ สนพ. เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันและในอนาคต” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว