ลั่นชัดเจนไม่มีกลัว “ม.112” 4 แกนนำม็อบราษฎร มากันพร้อมหน้าเข้ารับทราบข้อกล่าวหา เอ่ยยังเดินหน้าชุมนุมต่อแน่

ผู้สื่อข่าวาายงานว่า วันนี้ (30 พ.ย.63) กลุ่มแกนนำกลุ่มราษฎร นำโดย นายอานนท์ นำภา ,นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ,นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และนายปฏิวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ที่ สน.ชนะสงคราม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมตามหมายเรียก ในความผิดข้อหาตาม ม.112 จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง บริเวณ สนามหลวงในช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ย. 2563 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ก่อนเข้ารับทราบข้อหา นายพริษฐ์ กล่าวว่า การใช้มาตรา 112 (ม.112) จะเป็นประจักษ์พยานให้สังคมโลก และสังคมประเทศไทย ได้รู้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองแล้ว ครั้งหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม บอกว่า พระมหากษัตริย์ เรามีพระเมตตาไม่ใช้มาตรา 112 แต่วันนี้กลับนำมาใช้ ทุกหมายทุกคดีมาตรา 112 จะเป็นหลักฐานว่า ประเทศไทยกำลังใช้กฎหมายและใช้สถาบันกษัตริย์ทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง การใช้มาตรา 112 ไม่กระทบต่อผู้ชุมนุม มีแต่คนจะเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ชัดว่าประเทศนี้อยุติธรรม

ด้านนายภาณุพงศ์ กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน ควรจะวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบได้ การเป็นประมุขของรัฐระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การใช้ ม. 112 มาอยู่ในกระบวนการยุติธรรมและเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาภายหลังอีกรอบ หลังจากที่ฝากขังอยู่เป็นเวลานาน เมื่อออกมาแล้ว ยังมาแจ้งข้อหา ม.112 ซ้ำอีกเป็นการกระทำที่มีคำสั่งมาจากใครหรือเปล่า ซึ่งการใช้ ม. 112 จะไม่ทำให้พวกตนหยุดการเคลื่อนไหว และของย้ำว่าม. 112 ไม่ใช่อุปสรรค เป็นเพียงกฎหมายที่ควรถูกยกเลิก

ในส่วนนายอานนท์ กล่าวว่า รู้สึกเฉยๆ คดี ม.112 เป็นแค่กฎหมายที่อยุติธรรม ไม่ได้ให้ค่าใดๆ พยานหลักฐานทั้งหมดประจักษ์ชัดอยู่แล้ววันที่ 19 ก.ย. ที่เราชุมนุมกัน สื่อเห็นเราพร้อมสู้ข้อเท็จจริง ในกระบวนการยุติธรรม ถ้าแน่จริงหลักฐานไปสู้กันที่ศาล แต่ถ้าเราขอหมายศาล ไปเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำใครก็ตาม ขอให้มาศาลแล้วกันอย่าหนีศาล

ทั้งนี้เมื่อถามว่า แนวทางของคดีจะมีผลต่อการต่อสู้วันข้างหน้าอย่างไร นายอานนท์ กล่าวว่า เราไม่ได้เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมขนาดนั้น แต่คิดว่า ศาลเองหลังๆมายังวางตัวให้เป็นหลักให้สังคมได้อยู่ เชื่อว่าศาลตระหนักแล้วว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือ หลายๆ คดีตำรวจไปขอออกหมายจับที่ศาล แต่ศาลไม่ได้ออกให้ ให้ใช้กระบวนการยุติธรรมปกติ ต้องไปวัดกันที่ศาล คดีพวกนี้ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้วว่า สิ่งที่เราพูดต่อสาธารณะ กระบวนการพิจารณาก็ต้องไปดูเป็นการพิสูจน์กันทางสาธารณะอยู่แล้ว

นายอานนท์ กล่าวต่อว่า ทุกคำพูดที่พูดไปมันชัดเจนว่า เรามุ่งหมายอะไร มันถึงวันที่เราต้องออกมาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาของสถาบันฯ เป็นอย่างไร เราหวังว่า สถาบันฯ จะรับฟัง แต่ถ้าไม่รับฟังแล้ว ยังจะใช้กฎหมายพวกนี้มาปิดปากพวกเรา ก็สู้กันต่อไป เพื่อให้ราษฎรทุกคนเป็นประจักษ์พยาน ถ้ามองในแง่ดีการนำ ม.112 มาใช้ช่วงนี้เป็นใบเสร็จ เป็นใบรับรองของกระบวนการยุติธรรมไทย

“การที่เอาผีมาหลอกคนที่ไม่กลัวผี เราไม่ได้กลัว ปีหน้าหนักแน่ ตู้คอนเทนเนอร์ไปหามาได้เลย มันสนุกแน่ การต่อสู้กับคนสติปัญญาไม่ดี ถ้าจะจับเราเข้ากระบวนการ เราก็เข้า แต่ต้องตระหนักว่าสิ่งที่จะตามมามันคืออะไร เป็นแง่ดีที่คนจะได้เห็นความโหดร้ายของ ม.112 อีกครั้ง ในรอบหลายปีที่ผ่านมา นักศึกษาถูกดำเนินคดี ม. 112 ไม่เยอะ แต่ตอนนี้มันเยอะ” นายอานนท์ กล่าว

ด้าน น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า ม.112 เป็นกฎหมายที่ไม่ชอบธรรม ซึ่งอยู่ใน 10 ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ มันชัดเจนด้วยตัวของมันเอง สิ่งที่เราพูดไปทั้งหมดในการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อปฏิรูปไม่ใช่การล้มล้าง อยากให้ทุกคนเป็นพยานวันนี้ ม. 112 ถูกนำกลับมาใช้กับนักกิจกรรมทางการเมืองอีกครั้ง อยากให้ทุกคนติดตามการใช้ ม.112 จะมีผลอะไรบ้าง แต่ยืนยันว่า ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของพวกเราแต่อย่างใด ต้องดำเนินการต่อไป เพื่อให้บรรลุ 3 ข้อ อย่างที่กลุ่มราษฎรตั้งใจวางไว้