รัฐบาลดันแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วย “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” ระยะที่ 2

รัฐบาลพร้อมดันแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชนสากล

  • แผนปฏิบัติการด้านแรงงาน -แผนปฏิบัติการด้านชุมชน
  • แผนปฏิบัติการด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
  • แผนปฏิบัติการด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ แผนปฏิบัติการฉบับนี้จัดทำขึ้นตามแนวทางตามคู่มือว่าด้วยแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ตามกรอบแนวทางของหลักการ United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights (UNGPs) ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ การคุ้มครอง การเคารพ และการเยียวยา รวมทั้งเป็นหนึ่งในข้อเสนอแนะสำคัญที่ประเทศไทยรับมาปฏิบัติตามกระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 เมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน

สำหรับสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) ประกอบด้วย 4 แผน ได้แก่

1.แผนปฏิบัติการด้านแรงงาน  อาทิ (1)การเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เช่น จัดทำแนวทางการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมปฏิญญาไตรภาคี เรื่อง หลักการว่าด้วยสถานประกอบการข้ามชาติและนโยบายสังคม (MNE Declaration)  มีความสอดคล้องกับบริบทของไทย (2)การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย นโยบาย และมาตรการที่เกี่ยวข้องด้านต่าง ๆ เช่น การคุ้มครองสิทธิแรงงาน การจัดสวัสดิการสังคม การจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำที่เพียงพอ  (3)พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางด้านแรงงานและระบบค้นหาข้อมูลด้านแรงงาน (4)การขจัดการเลือกปฏิบัติ การล่วงละเมิด และการเข้าไม่ถึงสิทธิประโยชน์ทางแรงงานอย่างเท่าเทียม โดยกำหนดมาตรการคุ้มครองสิทธิแรงงานกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ ที่อาจถูกเลือกปฏิบัติ เช่น แรงงานสตรี กลุ่มชาติพันธุ์ คนไร้รัฐไร้สัญชาติ ผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติ ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ผู้สูงอายุ ผู้เคยถูกคุมขัง ให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน โดยใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการจ้างงานแรงงานกลุ่มนี้ การจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชนเพื่อลดอคติและการตีตราต่อแรงงานกลุ่มเปราะบาง

2.แผนปฏิบัติการด้านชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อาทิ (1)การพัฒนาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย นโยบาย และมาตรการเกี่ยวกับการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง  (2)จัดให้มีการหารือและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในรูปแบบออนไลน์และในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ (3)เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการและการจัดทำผังเมืองต่าง ๆ ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (4)กำหนดช่องทางและมาตรการการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาต่าง ๆ โดยการชดเชยเยียวยาต้องรวดเร็ว เป็นธรรม และเป็นไปตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

3.แผนปฏิบัติการด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน อาทิ (1)ผลักดันการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (ICPPED) (2)บูรณาการ ส่งเสริม และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับระบบการไกล่เกลี่ย ในทุกระดับชั้นของกระบวนการยุติธรรม (3)เยียวยาเหยื่อหรือผู้เสียหายตามกรอบกฎหมายและพัฒนามาตรการเยียวยาทั้งทางร่างกายและจิตใจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

4.แผนปฏิบัติการด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ อาทิ  (1)ศึกษาและจัดทำแนวปฏิบัติและกระบวนการให้ความเห็นต่อสัญญาในกรณีที่ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจทำธุรกิจกับบรรษัทข้ามชาติ (2)พัฒนามาตรการและกลไกการกำกับดูแลนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ให้เคารพสิทธิมนุษยชน หลักการ UNGPs และเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) (3)พัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการยุติธรรม ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดนรวมถึงผลกระทบ

นางสาวรัชดา กล่าวว่า กลไกการกำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฉบับนี้  จะดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน โดยมีอำนาจและหน้าที่ เช่น พัฒนาและปรับปรุงแผนปฏิบัติการ และแก้ไขปัญหากรณีข้อร้องเรียนร้องทุกข์จากการดำเนินธุรกิจของสถานประกอบการ ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมจะเป็นผู้รวบรวมและจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ 2 ระยะ คือ ระยะครึ่งรอบ (ระหว่าง พ.ศ.2566 – 2568) และระยะเต็มรอบ (ระหว่าง พ.ศ.2566 -2570) เสนอต่อคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย และนำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาและเผยแพร่ต่อไป