“มนพร”แจงยิบปม”แลนด์บริดจ์”-ลั่น!รัฐบาลจะทำให้โครงการเป็นจริง

“มนพร” ตอบกระทู้สด “แลนด์บริดจ์”  ย้ำหากไม่คุ้มค่าจะทบทวน    แต่จากการศึกษาพบว่าสามารถประหยัดเวลาในการเดินเรือ ลดค่าใช้จ่าย  สร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนัเ(18ม.ค.67) นายปดิพัทธ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่1 เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา เกี่ยวกับการทำโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อม อ่าวไทย-อันดามัน ซึ่งมีผู้ตั้งถาม 2 กระทู้ ประกอบด้วย ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายสุรเชษฐ์ ประวิณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

โดยนายสุรเชษฐ์ ได้ถามถึงรายละเอียดของผลการศึกษาบนข้อเท็จจริง เช่น สายการเดินเรือ การลดค่าใช้จ่ายในสายการเดินเรือ ว่าจะมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนระหว่างแลนด์บริดจ์เมื่อเทียบกับช่องแคบมะละกา รวมถึงประมาณการเรือขนส่งที่จะใช้เส้นทางแลนด์บริดจ์ตามผลการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในฐานะฝ่ายค้าน ไม่ได้ค้านไปเรื่อย แต่จากการรับฟังข้อมูลไม่พบรายละเอียดที่เป็นข้อเท็จจริง แต่พบเป็นข้อมูลเพื่ออวย และฝันใหญ่เท่านั้น

“จากผลการศึกษาพบว่ากการขนส่งจะเสียเวลา 7-10 วัน ที่จะขนย้ายสินค้าขึ้นลง และสายการเดินเรือต้องเพิ่มจำนวนเรือ 7-10 ลำ ถือว่ามีค่าใช้จ่ายและเสียเวลาที่มากกว่าช่องแคบมะละกา และช่องทางเดินเรืออื่นๆ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีข้อมูลที่มีนัยสำคัญที่จะบอกในความคุ้มค่าของการลงทุน ทั้งนี้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา สภาพัฒน์บอกว่าโครงการดังกล่าวไม่คุ้มค่า และเสนอให้ลดขนาดของโครงการและลงทุน รวมถึงผลระทบชุมชน ผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่ขณะนี้รัฐบาลต้องการเพิ่มขนาด ข้อมูลทางธุรกิจไม่ชัดเจน แต่ไปเร่ขาย จะขายของหรือขายหน้าต้องรอดู” นายสุรเชษฐ์ กล่าว

นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เมื่อผลศึกษายังไม่ชัดเจน ทำไมถึงไปเร่ขายต่างประเทศแล้ว ขณะที่การศึกษาอื่นๆ เช่น มอเตอร์เวย์ ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งการดำเนินการในโครงการที่จะเกิดขึ้น รัฐบาลจะยกที่ให้นายทุนกี่ไร่ และนานเท่าไร นอกจากนั้นยังมีประเด็นการชักศึกเข้าบ้านในแง่นโยบายทางการเมืองด้วย จึงควรคำนึงถึงมิติเชิงพื้นที่มากกว่าการขายฝันโครงการใหญ่ที่พบว่าหลายโครงการไม่ประสบความสำเร็จ ประชาชนเดือดร้อน แต่ผู้รับเหมารวม จึงขอให้ไตร่ตรองให้ดีว่าควรทำหรือไม่ควรทำ มีความคุ้มค่าและโปร่งใส มากกว่าอยากทำ

ด้านนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ชี้แจงแทนนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ว่า จากการโรดโชว์ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.การคลัง และนายสุริยะ ที่ต่างประเทศ พบว่ามีนักลงทุนให้ความสนใจและเข้าร่วมหารือ ซึ่งนักลงทุนสนับสนุนเพราะต้องการช่องทางขนส่งทางเรือที่สามารถขนส่งสินค้าได้สะดวก ล่าสุดนายเศรษฐาเดินทางไปยังกรุงดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ได้พูดคุยกับนักลงทุนในกลุ่มสหภาพยุโรป ได้รับความสนใจและเสียงต่อรับจากนักธุรกิจในเชิงบวก ได้ขยายความคิดและโครงการให้นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งประเทศไทยต้องการโอกาสทำโครงการขนาดใหญ่เพื่อให้ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

นางมนพร กล่าวว่าโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลมีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ทุกโครงการต้องฟังความเห็น ออกกฎหมาย ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งตนเองเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการฯ ได้เชิญคนที่เห็นด้วยและเห็นต่างให้ความเห็น รวมถึงศึกษาทุกมิติ อาทิ ความมั่นคง อุตสาหกรรม ต่างประเทศ สิ่งแวดล้อม และให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแลนด์บริดจ์ มีผลกกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นความท้าทายที่ต้องวางแผนเพื่อแก้ปัญหาผลกระทบในพื้นที่ที่ รวมถึงคำนึงถึงการเวนคืนที่ดินในราคาที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจให้กับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ นอกจากนั้น กรรมาธิการฯ ได้ลงพื้นที่ฟังเสียงประชาชน พบว่าประชาชนส่วนหนึ่งคัดค้าน เพราะไม่อยากสูญเสียที่ดินทำกินดั้งเดิม สิทธิในที่อยู่อาศัย และการประมงพื้นบ้าน ซึ่งรัฐบาลไม่ละเลยเสียงคัดค้านดังกล่าวและเตรียมออกกฎหมายพิเศษในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน โดยนำความเห็นของประชาชนมาพิจารณา ทั้งนี้ความเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีเสมอ

นางมนพร ชี้แจงต่อว่าจะผลักดันความฝันแลนด์บริดจ์ให้เป็นจริงและลงมือทำ ทั้งนี้โครงการช่องทางแลนด์บริดจ์เพื่อลดการเสียเวลาและระยะทางขนส่ง จากที่ช่องแคบมะละกามีความแออัด และมีปัญหาปล้นเรือสินค้าเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การขนส่งสินค้าจากประเทศจีนไป ออสเตรเลีย ทางเรือมีเพิ่มมากขึ้น แต่ประเทศจีนตอนใต้หลายพื้นที่ไม่ติดทะเล หากมีโครงการแลนด์บริดจ์จะทำให้มีเรือตู้สินค้ามาที่แลนด์บริดจ์เพิ่มมากขึ้น เพราะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แม้ไม่ใช่ทุกเส้นทางการเดินเรือ แต่จากการศึกษาพบว่า เส้นทางที่ขนส่งเส้นทางเรือฟีดเดอร์ที่จะประหยัด ซึ่งระยะยาวหากจำนวนตู้สินค้าเพิ่มมากขึ้น เรือใหญ่จะเข้ามารับตู้สินค้าจากท่าเรือระนอง จะมีเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ความคุ้มค่าของการทำโครงการขนาดใหญ่นั้น ยืนยันว่าบริษัทที่ปรึกษาจะศึกษาทุกมิติ และบริษัทที่จะลงทุนต้องเข้ามาศึกษาในแง่ความเป็นไปได้ หากไม่คุ้มค่าเขาไม่มาลงทุน แต่เมื่อศึกษาแล้วมีประเด็นที่เป็นไปไม่ได้ต้องกลับมาทบทวน

“ยอมรับว่าทุกโครงการมีผลกระทบ จึงใช้กลไกของสภาผ่านกรรมาธิการฯ ที่ประกอบด้วยทุกพรรคการเมืองเพื่อพิจารณาศึกษาประชุมกว่า 10 ครั้ง ลงพื้นที่รับฟังความเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เมื่อศึกษาแล้วจะนำมาให้สภาพิจารณาและ สส.สามารถให้ความเห็นได้ เพราะเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ หากพบว่าของบสูงเกินไป สามารถอภิปรายปรับลดได้ ทั้งนี้ก่อนทำโครงการได้มีการศึกษารายละเอียดใน 10 ส่วน ไม่มีการหมกเม็ด ทั้งระบบโลจิสติกส์ การออกแบบ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม วิเคราะห์รูปแบบการลงทุน การออกแบบท่าเรือ 84% สถานะประเมินผลเกี่ยวข้องสิ่งแวดล้อม ข้อกังวลของประชาชน ชาวประมง การขับเคลื่อนและการร่วมทุน ซึ่งกระบวนการแต่ละส่วนอยู่ระหว่างการศึกษา และจะนำข้อห่วงใยของฝ่ายค้านไปพิจารณาประกอบการศึกษาด้วย”นางมนพรกล่าว