นักเรียนอายุ 12-14 ปีได้เฮ! ศธ.เผยแผนเตรียมฉีด “ไฟเซอร์”ให้กว่า 4 ล้านคน

  • ส่วนฉีดวัคซีนแล้วจะเปิดเรียนได้เมื่อไรนั้นยังตอบยาก
  • ย้ำต้องเน้นปลอดภัยและดูสถานการณ์เป็นหลัก

วันที่ 27 ส.ค.2564 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงแผนการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนและเยาวชน ว่า ตามที่รัฐบาลได้สั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งวัคซีนจะมาถึงประเทศไทยประมาณเดือนกันยายน 2564 จำนวน 2-3 ล้านโดส และจะส่งให้ได้ครบ 30 ล้านโดสตามแผนที่วางไว้ภายในเดือนธันวาคม 2564 ในเบื้องต้นกระทรวงศึกษาธิการ ได้สำรวจจำนวนนักเรียนอายุระหว่าง 12-14 ปี พบว่ามีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งการฉีดวัคซีนนั้นจะครอบคลุมเด็กนักเรียนจากทุกสังกัด ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ตลอดจนเด็กที่ไม่สามารถอยู่ในระบบการศึกษาปกติต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เป็นต้น โดยเมื่อวัคซีนมาถึงก็จะดำเนินการฉีดให้เป็นไปตามแผนและขั้นตอนการกระจาย ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้วางแผนอย่างรวดเร็วที่สุด

“ทั้งนี้ ในการฉีดวัคซีนนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก เยาวชน และประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่จะเติบโตเป็นอนาคตของชาติ ดังนั้น จึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ตามความเหมาะสม ตามสถานการณ์ในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ยังได้มีการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความมั่นคง ซึ่งมีการร้อยเรียงไปถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย สำหรับการแบ่งระดับความสำคัญในการฉีดวัคซีน จะดำเนินการตามแผนของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยการกระจายวัคซีนเพื่อให้ได้รับการฉีดเร็วที่สุด ซึ่งจากการสรุปยอดผู้ได้รับการฉีดวัคซีนล่าสุดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมาก็ได้รับการฉีดไปแล้วจำนวนหนึ่ง แต่รัฐบาลก็จะมีการเพิ่มการฉีดให้ได้ไวกว่าเดิม โดยจะมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้บริการเคลื่อนที่ ทั้งยังลงไปในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในระดับตำบล ในพื้นที่แบบเชิงรุก เพื่อให้การฉีดครอบคลุมและรวดเร็วที่สุด

ส่วนเมื่อเด็กและเยาวชนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะสามารถเปิดเรียนได้เมื่อไหร่นั้น เป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก เพราะในการจะเปิดเรียนสิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องเน้นความปลอดภัยของชีวิตเป็นหลัก รวมถึงต้องดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงนั้นเป็นหลักด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการบูรณาการ การทำงานร่วมกัน และยึดตามมาตรการของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ของแต่ละจังหวัด ร่วมกับการประเมินสถานการณ์ตามบริบทของแต่ละพื้นที่ และขอย้ำว่าเมื่อวัคซีนมาถึงไทยก็จะดำเนินการฉีดให้เร็วที่สุด ส่วนการพิจารณาพื้นที่ฉีดวัคซีนก็ต้องให้เป็นไปตามแผนการฉีดและแผนการกระจาย ของกรมควบคุมโรคจึงจะเหมาะสมที่สุด” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว