สนค.เตรียมชง”จุรินทร์”เคาะเป้าหมายส่งออกปี63

  • เบื้องต้นทำเป้าไว้3ระดับขยายตัวตั้งแต่1-3%
  • พร้อมเสนอแผนส่งเสริมผลักดันให้สำเร็จตามเป้า
  • ยอมรับบาทแข็งกระทบส่งออก-รายได้เกษตรกร

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) กระทรวงพาณิชย์ ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ในช่วงกลางเดือนม.ค.63 สนค.เตรียมเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเป้าหมายมูลค่าการส่งออกปี 63 รวมถึงแนวทางที่จะส่งเสริมและผลักดันการส่งออกเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเตรียมเสนอให้พิจารณาเป้าหมาย 3 ระดับคือ มูลค่าส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น 1%, 2% และ 3% เมื่อเทียบกับปี 62 แต่รัฐบาลต้องการผลักดันให้ได้ถึง 3%  เพื่อให้เศรษฐกิจไทยปี 63 ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ไม่ต่ำกว่า 2.8%

”เป้าหมายมูลค่าการส่งออกแต่ละระดับ คือ ตั้งแต่ 1-3% สนค.ได้เสนอแนวทางการผลักดันไว้ด้วย ว่า ถ้าต้องการจะขายตัวให้ได้  1% หรือ 2% หรือ 3% จะต้องส่งเสริมและผลักดันอย่างไร โดยเฉพาะในตลาดเป้าหมาย 18 ประเทศทั่วโลก ที่รมว.พาณิชย์ตั้งเป้าหมายจะเดินทางไปเจรจาขายสินค้าด้วยตัวเอง จะเอาสินค้าอะไรไปขาย และในแต่ละเดือนต้องส่งออกให้ได้เท่าไร จึงจะบรรลุเป้าหมาย ซึ่งข้อมูลที่เตรียมนำเสนอนั้น สนค.ประเมินจากความต้องการซื้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก และจะเอาข้อมูลนี้เสนอให้รมว.พาณิชย์ใช้ประกอบการเดินทางไปขายสินค้าใน 18 ประเทศด้วย”

ขณะเดียวกัน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ก็จะต้องหารือกับผู้ส่งออกเพื่อประเมินสถานการณ์ในแต่ละตลาด จากนั้นจึงเอาข้อมูลทั้งหมดมาประชุมร่วมกับทูตพาณิชย์ เพื่อกำหนดเป็นเป้าหมายการส่งออกอย่างเป็นทางการต่อไป โดยเป้าหมายมูลค่าการส่งออก ที่สนค.เตรียมเสนอให้ที่ประชุมกรอ.พาณิชย์พิจารณานั้น ยังไม่ถือว่าเป็นเป้าหมายอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการซื้อสินค้าจากทั่วโลกในปี 63 พบว่า ยังมีความต้องการซื้อสินค้าอยู่มาก แต่บางสินค้า ไม่ได้นำเข้าจากไทย แต่นำเข้าจากคู่แข่งไทย เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่ประเทศผู้นำเข้าจะนำเข้าจากจีน และประเทศเพื่อนบ้านของไทย ดังนั้น จึงต้องหาทางผลักดันการส่งออกของไทยเข้าไปทดแทนให้ได้ ซึ่งการเดินทางไปเจรจาขายสินค้าด้วยตนเองของรมว.พาณิชย์ จะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยผลักดันได้บ้าง ส่วนค่าเงินบาทแข็งค่า จะมีผลกระทบต่อการส่งออกแน่นอน โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง และกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ดังนั้น รัฐบาลควรหาทางช่วยเหลือภาคเกษตรกรด้วย เพื่อบรรเทาผลกระทบด้วย