ธุรกิจโรงภาพยนตร์สดใส! หนังทำเงินแห่เข้าเพียบในไตรมาส 2

  • คาดว่าจะทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท
  • ระบบสตรีมมิ่งไม่ได้เป็นคู่แข่งของธุรกิจโรงภาพยนตร์
  • มองเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกัน

นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2566 ธุรกิจโรงภาพยนตร์มีสัญญาณการฟื้นตัวค่อยๆ ดีขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากใน ปีนี้มีไลน์อัพของภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ทยอยเข้าฉายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพิสูจน์ได้จากภาพยนตร์เรื่องอวตาร 2 (Avatar 2) ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง และสามารถขึ้นเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์

“ธุรกิจโรงภาพยนตร์ขึ้นอยู่กับปีไหนที่มีหนังดีหนังฟอร์มใหญ่ คนเข้ามาใช้บริการโรงภาพยนตร์แน่นอน โดยเฉพาะในไตรมาส 2 นี้ จะมีภาพยนตร์ระดับบล็อกบลัสเตอร์เข้าฉายถึง 3 เรื่องคือ กาเดี้ยน ออฟ เดอะ กาแล็คซี่ ภาค 3 ตามด้วยเรื่อง ฟาสต์ แอนด์ ฟิวเรียส และปิดท้ายด้วยเรื่อง เดอะ ลิตเติ้ล เมอร์เมด-เงือกน้อยผจญภัย ไม่เพียงเท่านั้นในเดือน มิ.ย.ยังมีหนังฟอร์มใหญ่ที่เตรียมเข้าฉายอาทิ ทรานส์ฟอร์เมอร์ส-กำเนิดจักรกลอสูร และอีกหลายเรื่อง ซึ่งเรียกว่าปีนี้มีไลน์อัพแข็งแรงมาก เพราะมีภาพยนตร์กว่า 10 เรื่องที่จัดเต็มมาก

ทั้งภาพยนตร์ต่างประเทศ และภาพยนตร์ไทย ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท เช่นที่ผ่านมา ทั้งเรื่องจอห์น วิค : แรงกว่านรก 4, แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์ : ตะลุยมิติควอนตัม ส่วนภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ทะลุเป้า เช่น ขุนพันธ์ ภาค 3 และบ้านเช่า บูชายัญ ก็เป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ดีมาก”

ในส่วนของการเข้ามาของระบบสตรีมมิ่ง หรือการดูภาพยนตร์ผ่านระบบสมัครสมาชิก ถือว่าไม่ได้เป็นคู่แข่งของธุรกิจโรงภาพยนตร์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกัน เช่น ภาพยนตร์เรื่องจอห์น วิค แรงกว่านรก ภาค 4 หลังจากดูผ่านโรงภาพยนตร์แล้ว ทำให้มีการกลับไปดู จอห์น วิค ภาค 1-3 ในระบบสตรีมมิ่ง ซึ่งคอนเทนต์ของหนังในโรงภาพยนตร์กับในระบบสตรีมมิ่ง เป็นคนละคอนเทนต์โดยสิ้นเชิง โดยมองว่าคนที่ดูผ่านระบบสตรีมมิ่ง จะเน้นดูซีรีส์เป็นส่วนใหญ่

ดังนั้น เชื่อมั่นว่าธุรกิจโรงภาพยนตร์ปีนี้ฟื้นตัวชัดเจน ส่วนค่าไฟที่แพงขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบกับค่าใช้จ่ายของบริษัทโดยตรงกว่า 100 ล้านบาท แต่เนื่องจากยอดขายตั๋วหนังในปีนี้ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน