ธปท.วอนลูกหนี้ติดต่อแบงก์ด่วน!หากไปต่อไม่ไหวอนุมัติยืดต่อให้อีก6 เดือน

ธปท.ยืนยันไม่มีใครตกหน้าผา หลังพบลูกหนี้ 94% ที่อยู่ในโครงการพักหนี้เดิมได้รับการแก้หนี้แล้ว ประกาศตามหาลูกหนี้ที่เหลือ 6% หรือ 1.6 หมื่นบัญชีที่ยังหายตัวไป ติดต่อไม่ได้ให้กลับมาเจรจากับเจ้าหนี้ด่วน โดยให้เวลาถึงเจรจาถึงสิ้นปี 63 และให้พักหนี้ต่อได้ในช่วงเจรจา ส่วนธุรกิจที่ไม่ไหวจริงๆ ให้พักหนี้ต่อได้อีก 6 เดือน ถึงสิ้นเดือน มิ.ย.64 แต่ขอให้ปรากฏตัวคุยกัน เชื่อการแก้หนี้แบบเฉพาะตัว ช่วยลูกหนี้ได้มากกว่าและไม่ผิดวินัยการเงิน เตรียมปรับเงื่อนไขซอฟท์โลน ยืดเวลาปล่อยหนี้ให้ยาวขึ้น

นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายเสถียรภาพระบบการเงินและยุทธศาสตร์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการดำเนินการเพื่อรับมือการครบกำหนดมาตรการผ่อนผันให้ลูกหนี้เอสเอ็มอีที่ได้รับการพักหนี้ตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 22 ต.ค.นี้ว่า จากการสำรวจลูกหนี้เอสเอ็มอี ซึ่งเข้าข่ายที่เข้าโครงการพักชำระหนี้ หรือเอสเอ็มอีที่มีสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท พบว่ามีลูกหนี้เอสเอ็มอีเข้าโครงการพักหนนี้ทั้งสิ้น 1.05 ล้านบัญชี มูลหนี้รวม 1.35 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นลูกหนี้ในส่วนของสถาบันเฉพาะกิจของรัฐ 780,000 บัญชี วงเงิน 400,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐได้ออกมาตรการยืดหนี้ให้เพิ่มเติม 3-6 เดือนไปแล้วในช่วงก่อนหน้า ทำให้ไม่มีปัญหาในขณะนี้

ส่วนที่เหลือลูกหนี้จำนวน 270,000 บัญชี มูลหนี้ประมาณ 950,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นลูกหนี้เอสเอ็มอีของสถาบันการเงิน และบริษัทให้สินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) นั้น ธปท.ได้สั่งให้ติดต่อลูกหนี้ทุกรายเพื่อติดตามสถานะ โดยพบว่า 94% เป็นลูกหนี้ที่สามารถติดต่อได้ ซึ่งลูกหนี้ส่วนใหญ่มากกว่า 50% ของจำนวนนี้แสดงเจตจำนงว่าจะสามารถชำระหนี้ได้ตามปกติหลังหมดมาตรการ ส่วนที่เหลือแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ลูกหนี้ที่ไม่สามารถกลับมาจ่ายหนี้ได้ตามปกติ หรือจ่ายได้บางส่วนเท่านั้น ซึ่งกรณีนี้ได้มีการหารือกับเจ้าหนี้เพื่อดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ผ่านมา เช่น การลดจำนวนหนี้ที่ต้องผ่อนส่งรายเดือน ยืดเวลาการชำระหนี้ หรือใช้มาตรการอื่นๆ ตามความเหมาะสมของฐานะการเงินของแค่ละราย ส่วนนี้เมื่อครบกำหนดโครงการพักหนี้คาดว่าจะไม่มีปัญหา

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ ธปท.มีความเป็นห่วง คือ ลูกหนี้จำนวน 6% ของลูกหนี้ 950,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นลูกหนี้ 16,000 บัญชี มูลหนี้รวม 57,000 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหนี้ไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งอาจจะเกิดจากรณีการปิดกิจการชั่วคราว ย้ายสถานที่ หรือไม่กล้ารับโทรศัพท์เพราะกลัวถูกทวงหนี้ก็ตาม ซึ่ง ธปท.ขอให้ลูกหนี้ส่วนนี้ติดต่อกลับมาหาเจ้าหนี้เพื่อดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้หรือเพื่อเจรจาหาทางแก้ไขสถานการที่เกิดขึ้นเพื่อให้กลับมาชำระหนี้ได้ โดยให้เวลาในการเจรจากับเจ้าหนี้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31ธ.ค.63 โดยระหว่างเวลาดังกล่าวลูกหนี้จะได้รับการพักหนี้ต่อไป โดยยังอยู่ในสถานะเดิมก่อนการพักหนี้ เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ หรือ คิดค่าปรับใดๆเพิ่มเติม

“สถานการณ์ในขณะนี้เท่าที่ติดตามพบว่า จะไม่มีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้จำนวนมาก หลังหมดมาตรการพักหนี้ หรือที่เป็นห่วงว่าลูกหนี้เหล่านี้จะตกหน้าผา เพราะ 94% ของลูกหนี้ที่พักหนี้ได้รับการแก้ปัญหาแล้ว แต่ยอมรับว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้บางธุรกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวและมีรายได้กลับมาเพื่อชำระหนี้ได้ ดังนั้น จะมีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือต่อไป เพียงแต่การช่วยเหลือจากนี้จะไม่เป็นการช่วยเหลือแบบเหมาเข่ง คือ ทุกรายได้รับการพักหนี้ แต่จะเป็นการเจรจาขอความช่วยเหลือเป็นรายๆ ตามสถานะ ดังนั้น อยากจะให้เอสเอ็มอีจำนวน 6%ที่ ยังติดต่อไม่ได้ ติดต่อกลับมาที่เจ้าหนี้เพื่อเจรจากัน และหากยังไม่สามารถที่จะชำระหนี้ได้ในขณะนี้ ธปท.ก็อนุญาตให้เจ้าหนี้สามารถพักหนี้ต่อให้ได้เป็นเวลาอีก 6 เดือน หลังจากช่วงเจรจา หรือให้พักชำระหนี้ได้ต่อจนถึงสิ้นเดือนมิ.ย.ปี 64 รวมทั้งให้มีมาตรการในการลดเงินต้น ลดดอกเบี้ย หรือปรับโครงสร้างหนี้ด้วยวิธีอื่นๆ อย่างไรก็ตาม หากจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.ยังไม่ได้รับการติดต่อเพื่อแก้ปัญหา สถาบันการเงินเจ้าหนี้คงต้องจัดชั้นหนี้ใหม่ และมีโอกาสกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)”

นางรุ่ง กล่าวต่อว่า ลูกหนี้ทั้ง 6% นั้น ไม่ได้หมายความว่าในที่สุดจะเป็นหนี้เอ็นพีแอลทั้งหมด แต่ลูกหนี้จะต้องประเมินตัวเองและยกมือขอความช่วยเหลือเข้ามาเจรจา ซึ่งธปท.ได้กำชับสถาบันการเงินแล้ว และสถาบันการเงินก็เข้าใจว่าการช่วยเหลือให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้ได้ดีกว่าปล่อยให้เป็นเอ็นพีแอลแน่นอน ทั้งนี้ การที่ธปท.เลือกที่ไม่ต่อมาตรการพักหนี้เป็นการทั่วไป แต่เปลี่ยนเป็นการเจรจาและพักหนี้แบบเฉพาะเจาะจงนั้น เนื่องจากมองว่าการดำเนินการพักหนี้เป็นการทั่วไปต่อเนื่อง อาจจะส่งผลกระทบทางลบในระยะยาวใน 3 เรื่อง

1.ลูกหนี้ที่พักหนี้ต่อเนื่องอยู่จะยังคงมีภาระดอกเบี้ยในแต่ละเดือนตลอดช่วงการพักหนี้ ซึ่งเป็นภาระแก่ลูกหนี้ในระยะยาว 2.ทำให้เกิดการเสียวินัยทางการเงิน (moral hazard) เพราะจะมีลูกหนี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบไม่มาก อาจอาศัยเป็นช่องทางเพื่อประวิงเวลาการชำระหนี้ 3.ส่งผลเสียต่อเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินเพราะการพักหนี้เป็นการทั่วไปเป็นระยะเวลานานคาดว่าจะทำให้สภาพคล่องในระบบจากการชำระคืนหนี้และดอกเบี้ยหายไปประมาณ 200,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น กลุ่มลูกหนี้ที่ยังมีรายได้เพียงพอที่จะชำระคืนหนี้ควรชำระหนี้ตามปกติหลังหมดมาตรการ เพราะนอกจากจะช่วยลดภาระหนี้แล้ว ยังจะทำให้สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเพื่อปล่อยกู้ให้กับผู้ที่ยังได้รับผลกระทบได้เพิ่มมากขึ้น

ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวที่ออกไปครั้งนี้ ธปท.ยังอยู่ระหว่างการปรับเงื่อนไขสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน หรือซอฟท์โลน ยิดเวลาการชำระหนี้ให้ยาวขึ้น และเพิ่มมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ที่จะช่วยเหลือลูกหนี้แต่ละกลุ่มต่อไป