ดาวโจนส์แกว่งตัวแคบ มีแรงซื้อขายทำกำไรรอดูสถานการณ์

. นักลงทุนยังคงไม่ชัดเจน โดยจับตาการระบาดของโควิดโอมิครอน และทิศทางเศรษฐกิจ
.มีแรงซื้อขายหุ้นทำกำไรรายกลุ่ม ส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนทั้งแดนลบและบวก
.เจพีมอร์แกน เชส ออกรายงานคาดปีหน้าโลกสามารถยุติยุคโควิดได้

เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ35,734.25 จุด
เพิ่มขึ้น 14.82 จุด หรือ +0.04% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 15,663.00 จุด ลดลง 23.91 จุด หรือ -0.15%
ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,687.61 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.86 จุด หรือ +0.02%

ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวแคบๆ และผันผวน หลังตลาดปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องใน 2 วันที่ผ่านมา นักลงทุนยังไม่ชัดเจน โดยจับตาความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ และทิศทางการระบาดของโควิดโอมิครอน โดยมีแรงซื้อขายเพื่อทำกำไร และเก็งกำไรหุ้นที่ได้หรือเสียประโยชน์จากสถานการณ์การระบาดของโควิดโอมิครอน

อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น ขานรับกรณีที่บริษัทไฟเซอร์ อิงค์และไบออนเทคออกแถลงการณ์ร่วมกันในวันนี้ ระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์ และไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้

“ถึงแม้การฉีดวัคซีน 2 เข็มช่วยป้องกันอาการรุนแรงของโรคที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน แต่ข้อมูลในเบื้องต้นบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีน 2 เข็ม ตามด้วยเข็มกระตุ้นยังคงเป็นแนวทางดีที่สุดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19” แถลงการณ์ระบุ

โดยผลการทดลองในเบื้องต้นบ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของแอนติบอดีได้ถึง 25 เท่า เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม โดยการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ได้ลดความสามารถในการต่อสู้ของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนลงเหลือเท่ากับไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมซึ่งร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานด้วยการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม ทั้งนี้ ไฟเซอร์และไบออนเทคเปิดเผยว่า ทางบริษัทสามารถพัฒนาและจำหน่ายวัคซีนสูตรพิเศษที่สามารถต้านสายพันธุ์โอมิครอนได้ภายในเดือนมี.ค.2565

ด้าน นายมาร์โก โคลาโนวิช หัวหน้านักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส กล่าวว่า นักลงทุนสามารถเชื่อมั่นในการดีดตัวของตลาดหุ้นในรอบนี้ได้ โดยระบุว่า ที่ผ่านมาตลาดได้ตื่นตระหนกจนเกินเหตุ และทรุดตัวลงแรง หลังมีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยนักลงทุนแห่เทขายหุ้นอย่างรวดเร็วจากข่าวซึ่งเชื่อถือไม่ได้ และขณะนี้ตลาดก็ได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว

โดยคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้นเกือบ 8% ในปีหน้า สู่ระดับ 5050 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทะยานขึ้น 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวแตะ 2.25% ในช่วงสิ้นปี

ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน เชส ยังออกรายงานระบุว่า ไวรัสโควิด-19 จะยุติการแพร่ระบาดในปี 2565 และเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ โดยมองว่าการที่บริษัทเวชภัณฑ์สามารถผลิตวัคซีนสูตรใหม่และยารักษาโรคโควิด-19 จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่พุ่งขึ้นของผู้บริโภค

“เรามองว่าปีหน้าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยุติลง และเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ โดยสภาวะตลาดกลับสู่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19”

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ โดยดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งหากสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย