ดาวโจนส์ปิดลบ 741 จุด กังวลดอกเบี้ยสูง-เศรษฐกิจถดถอย

  • นักลงทุนผิดหวังตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 3,000 รายสูงกว่านักวิเคราะห์คาด
  • ตลาดยังเคงกังวลศรษฐกิจโลกถดถอย จากการที่ธนาคารกลางหลายแห่งพากันขึ้นดอกเบี้ย
  • ดัชนีดาวโจนส์ถูกถล่มขายหลุด 30,000จุดเรียบร้อยโงเรียนเฟด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 16 มิ.ย.ที่ 29,927.07 จุด ร่วงลง 741.46 จุด หรือ -2.42%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,666.77 จุด ลดลง 123.22 จุด หรือ -3.25% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 10,646.10 จุด ร่วงลง 453.06 จุด หรือ -4.08%

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างหนักอีกครั้ง โดยหลุดจากระดับ 30,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังจากธนาคารกลางทั่วโลกได้พากันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ 

ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกแห่ขึ้นดอกเบี้ย หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 28 ปี

ทั้งนี้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ขณะที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ -0.25% จากระดับ -0.75% ซึ่งเป็นการขึ้นครั้งแรกในรอบ 15 ปี นอกจากนี้ ธนาคารกลางฮังการี บราซิล ไต้หวัน ฮ่องกง และอาร์เจนตินา ต่างก็ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน

ทอม เฮนลิน นักวิเคราะห์จากบริษัทแอสเซนท์ ไพรเวท เวลธ์ กรุ๊ปกล่าวว่า การที่ธนาคารกลางทั่วโลกแห่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนชะลอตัวลง

ตลาดยังได้รับผลกระทบจากการเปิดเผยตัวเลขคนว่างงานที่สูงเกินคาด และตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านที่ดิ่งลงในเดือนพ.ค. โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 229,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 215,000 ราย

นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวอยู่สูงกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ

มีแรงขายหุ้นออกในแทบทุกกลุ่ม หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 5.58% โดยหุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ร่วงลง 5.83% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 6.01% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 3.69% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 5.36%

หุ้นเติบโต (Growth Stocks) ซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเช่นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นแอมะซอน ร่วงลง 3.72% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.7% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 3.75% หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 3.97% หุ้นราล์ฟ ลอเรน ทรุดตัวลง 8.94% หุ้นไนกี้ ดิ่งลง 5.54%

หุ้นกลุ่มสายการบินและธุรกิจเรือสำราญร่วงลงอย่างหนักเช่นกัน โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ร่วงลง 8.21% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ดิ่งลง 7.45% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ร่วงลง 8.64% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ดิ่งลง 11.08% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูส ร่วงลง 11.3%