ดาวโจนส์ปิดบวก239จุด ผลประกอบการสดใสหนุนตลาด

  • นักลงทุนซื้อหุ้นรับผลประกอบการไตรมาส3ที่ทยอยประกาศดีเกินคาด
  • นักวิเคราะห์มองเศรษฐกิจสหรัฐยังฟื้น แม้จีดีพีไตรมาส3ต่ำคาด
  • ตลาดจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟดลดQE

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 28ต.ค.ที่ 35,730.48 จุด เพิ่มขึ้น 239.79 จุด หรือ +0.68% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,596.42 จุด เพิ่มขึ้น 44.74 จุด หรือ +0.98% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 15,448.12 จุด เพิ่มขึ้น 212.28 จุด หรือ +1.39%

ผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาซื้อหุ้นต่อเนื่อง นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มอุตสาหกรรม

หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้น 6.14% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.75 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.55 ดอลลาร์/หุ้น โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายยา Keytruda ซึ่งเป็นยารักษาโรคมะเร็ง รวมทั้งยอดขาย Gardasil ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

นอกจากนี้ เมอร์คได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปี 2564 สู่ระดับ 5.65-5.70 ดอลลาร์/หุ้น จากเดิมที่ระดับ 5.47-5.57 ดอลลาร์/หุ้น โดยการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปีนี้ยังไม่รวมยอดขายยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ที่ทางบริษัทได้ยื่นขออนุมัติการใช้ยาเป็นกรณีฉุกเฉินต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เมื่อวันที่ 11 ต.ค. โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงต้นเดือนธ.ค. ซึ่งหากได้รับการอนุมัติก็จะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้น

หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ทะยานขึ้น 8.63% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 51 เซนต์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 27 เซนต์/หุ้น

หุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 4.07% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 2.66 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.20 ดอลลาร์/หุ้น

บริษัทคอมแคสต์ ซึ่งเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 87 เซนต์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 75 เซนต์/หุ้น อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นคอมแคสต์ปิดตลาดปรับตัวลง 1.03%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งและเป็นปัจจัยหนุนดัชนีแนสแด็ก ปิดทำนิวไฮ โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นแอมะซอน ดีดขึ้น 1.59% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 0.37% หุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.51% หุ้นเทสลา ทะยานขึ้น 3.8%

ทั้งนี้ แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2564 ขยายตัวเพียง 2.0% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.7% และเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 1 ปี โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลง รวมทั้งตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค

แต่อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.4% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2489

ขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานซึ่งแสดงการฟิ้นตัวของเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 ราย สู่ระดับ 281,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ ขณะที่ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 290,000 ราย และต่ำกว่า 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 2-3 พ.ย. โดยคาดว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้