ดับฝันคนรอ…แจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ส่อแววเจอโรคเลื่อน! เหตุการพัฒนาระบบต้องใช้เวลา

“จุลพันธ์” ลั่นโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตอาจเลื่อนจาก 1 ก.พ.67 ติดปัญหาการพัฒนาระบบที่ต้องใช้เวลาเผยยังไร้ข้อสรุปเรื่องแหล่งเงิน

  • ชี้การทำระบบต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ทำให้เกิดความเสถียรที่สุด
  • เผยวันนี้ต้องนัดประชุมคณะอนุกรรมการฯ ต้องเลื่อนไป เพราะยังไม่มีข้อสรุปเรื่องของแหล่งเงิน และรายละเอียดการแจก
  • ลั่นไม่กังวลว่าโครงการดิจิทัล วอลเล็ตนี้ จะซ้ำรอยเหมือนกับโครงการจำนำข้าวในอดีต

วันนี้ (19 ต.ค.66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท อาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนดเวลาในวันที่ 1 ก.พ.67 นี้ โดยสาเหตุสำคัญคือ การพัฒนาระบบเพื่อรองรับการแจกเงิน อาจจะมีความล่าช้า เนื่องจากต้องทำให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด แต่ยืนยันว่า รัฐบาลจะดำเนินการให้แล้วเสร็จและสามารถแจกเงินได้ทันภายในไตรมาสแรกของปี 67

“ท่านนายกรัฐมนตรีมอบโจทย์ไว้ว่า จะแจกเงินภายในวันที่ 1 ก.พ.67 แต่ผมก็พร้อมที่จะไปบอกว่าไม่ทัน ด้วยเหตุผลที่ให้คือ ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาระบบ เพื่อทำให้เกิดความเสถียร ปลอดภัยเราก็ต้องทำ ฉะนั้นจะเอาเรื่องของระบบมาแลกกับเวลาไม่ได้เลย เมื่อต้องเลื่อนระยะเวลา ก็ต้องเลื่อน” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นเรื่องของแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการ และเงื่อนไขในการแจกนั้น ทางฝ่ายเลขาอนุกรรมการจะเป็นฝ่ายที่จะสรุปเรื่องดังกล่าวมาเสนอต่อที่ประชุมในวันนี้นั้น ได้รับแจ้งว่ายังไม่สามารถสรุปรายละเอียดเรื่องดังกล่าวได้ ส่งผลให้ทางคณะอนุกรรมการจึงต้องเลื่อนการประชุมออกไปเป็นวันอังคารที่ 24 ต.ค.นี้เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็จะรีบนำเสนอไปยังคณะกรรมการชุดใหญ่ต่อไปทันที

“ฝ่ายเลขาฯ แจ้งว่า ยังไม่มีข้อสรุปทั้งเรื่องของแหล่งเงิน และรายละเอียดการแจกว่า จะแจกใคร ผมก็บอกว่า ถ้าไม่พร้อมก็เลื่อนไป โดยจะประชุมคณะอนุกรรมการอีกครั้งในวันที่ 24 ต.ค.นี้ เมื่อได้ข้อสรุปจะรีบเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ ถ้าติดขัดอะไรจะเสนอเป็นทางเลือกให้แก่คณะกรรมการพิจารณาต่อไป” นายจุลพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับการพิจารณาในประเด็นเรื่องการกำหนดเงื่อนไขว่า จะแจกเงินกลุ่มใดนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีการมองในเรื่องการแจกเงินที่ควรเฉพาะเจาะจงไปยังกลุ่มที่เปราะบาง และควรทยอยแจกเป็นระยะเวลา 10 เดือนเป็นต้น แต่รัฐบาลเห็นว่า ถ้าดำเนินตามเงื่อนไขดังกล่าวจะเป็นนโยบายในลักษณะนโยบายสังเคราะห์ คล้ายกับบัตรคนจน ซึ่งจะแตกต่างจากนโยบายที่รัฐบาลเสนอ โดยหลักการของการเดินนโยบายนี้ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่นโยบายสงเคราะห์

นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลผสม ฉะนั้นในรายละเอียดเรื่องของนโยบายอาจต้องปรับให้เหมาะสม ส่วนข้อเสนอเรื่องการยกเว้นการแจกเงินคนรวยนั้น ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าคนมีรายได้ระดับใด คือคนรวย บางคนบอกว่า มีเงินเดือน 20,000 บาทก็รวยแล้ว แต่สำหรับรัฐบาลมองว่า คนชั้นกลางก็ลำบากมานาน ที่ผ่านมาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก ฉะนั้น นโยบายนี้ ก็ควรให้โอกาสแก่คนกลุ่มนี้ด้วย

“หลักของนโยบายนี้ คือต้องการให้เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะจีดีพีของไทยนั้นมีอัตราโตต่ำมาตลอด ถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไร จีดีพีก็จะต่ำกว่านั้น แต่หากเดินนโยบายนี้ เชื่อว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ใกล้ 5%” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวไม่กังวลว่าโครงการดิจิทัล วอลเล็ตนี้ จะเหมือนกับโครงการจำนำข้าวในอดีต โดยเชื่อว่า ด้วยระบบที่รัฐบาลกำลังพัฒนานี้ และระบบการติดตามการตรวจสอบการทุจริต จะทำให้มั่นใจได้ว่า จะไม่มีเหตุการณ์ทุจริตเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าหากมีการทุจริต รัฐบาลจะมีการดำเนินคดีอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ รัฐบาลจะกำหนดให้มีการยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ์ในโครงการนี้ ซึ่งจะเป็นไปตามข้อกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคนที่เคยยืนยันตัวตนในโครงการของรัฐบาลที่แล้ว 40 ล้านคน ก็ไม่ต้องยืนยัน แต่ต้องมากดรับสิทธิ์ ส่วนคนที่ไม่เคยยืนยันตัวตน ก็ต้องมายืนยันตัวตน ส่วนคนที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบสมาร์ทโฟนได้ ทางรัฐบาลจะมีแนวทางพิเศษเพื่อผ่อนปรนให้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของร้านค้าที่จะขึ้นเงินสดในขั้นตอนสุดท้ายนั้น จะต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ขณะเดียวกันรัฐบาลจะสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าถือเงินไว้ก่อน เพื่อให้เงินหมุนในระบบนานขึ้น แต่หากต้องการขึ้นเงินสด ก็สามารถมาขึ้นเงินได้ทันทีเช่นกัน

นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับผู้พัฒนาระบบการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ในครั้งนี้ รัฐบาลกำหนดให้สมาคมธนาคารเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้น จึงไม่ต้องมีข้อห่วงใยที่ว่า รัฐบาลจะว่าจ้างบริษัทเอกชนรายใดรายหนึ่งมาดำเนินการ

“ยืนยันว่าเม็ดเงินที่จะนำมาพัฒนาระบบ ไม่ได้อยู่ในหลักหมื่นล้านบาทแน่นอน โดยจะไม่อยู่ในหลักที่น่าตกใจ ส่วนเงื่อนไขการกำหนดระยะทางในการใช้จ่ายนั้น ขณะนี้ได้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้จ่ายภายในรัศมี 4 กิโลเมตรจากที่อยู่แล้ว โดยการพิจารณาจะอยู่ในเขตตำบล อำเภอ และ จังหวัดแทน” นายจุลพันธ์ กล่าว