ดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนไหวแดนลบ ลดลงกว่า 100 จุด จับตาประชุมเฟด-มาตรการกระตุ้นรอบใหม่

  • นักลงทุนเทขายหุ้นลดความเสี่ยงและทำกำไร ในหุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้นก่อนหน้า
  • ตลาดจับตาผลประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด 28-29 ก.ค.นี้
  • ผลเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรสเพื่อออกมาตรการกระตุ้นชุดใหม่ยังไม่คืบ

เมื่อเวลาประมาณ 21.15 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 26,467.10 จุด ติดลบ 117.67 จุด หรือ -0.44% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 10,473.57 จุด ลดลง 62.70 จุด หรือ -0.60% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,229.43 จุด ลดลง 9.98 จุด หรือ -0.31%

ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวผันผวน โดยมีแรงเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยงและทำกำไรหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นต่อเนื่องมาหลายวัน โดยราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลง นักลงทุนจับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 28-29 ก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมครั้งนี้ และเฟดจะยืนยันว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวในช่วงหลายปีข้างหน้า

ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรสเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ โดยคาดว่าจะมีวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่โครงการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้ ซึ่งยังคงไม่มีความคืบหน้า รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่กำลังทยอยประกาศออกมา

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกยังคงรุนแรง สร้างความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และราคาสินทรัพย์ทั่วโลก ส่งผลกระทบความมั่นใจในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น โดย Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 16,672,136 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 657,262 ราย โดยสหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก 4,433,410 ราย รองลงมาคือบราซิล 2,446,397 ราย อินเดีย 1,484,136 ราย รัสเซีย 823,515 ราย และแอฟริกาใต้ 452,529 ราย

ทั้งนี้ หลังจากราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ในช่วงสัปดาห์นี้ ราคาทองฟิวเจอร์ปรับตัวลง โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งลดความน่าดึงดูดของทองคำ เนื่องจากทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น เช่นเดียวกับสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวลดลง