ดัชนีดาวโจนส์ร่วงกว่า 270 จุด กังวลภาวะเศรษฐกิจ ภาคการเงินอ่อนแอ

  • “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ขู่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ
  • นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาลดความเสี่ยง หลังเศรษฐกิจจีนส่อแววถดถอย
  • ตลาดกังวลอัตราดอกเบี้ยเฟดยังขึ้นต่อ หลังยอดค้าปลีกสูงขึ้นกว่าคาด

เมื่อเวลาประมาณ 22.10 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 35,035.27 จุดลดลง 272.36 จุด หรือ ลบ 0.77% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ 4,456.59 จุด ลดลง 33.13 จุด หรือลดลง0.74% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส อยู่ที่ 13,701.47 จุด ลดลง 86.86 จุด หรือลบ 0.63%

นักลงทุนกังวลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ หลังจากธนาคารกลางจีนสร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าจีนมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอย นอกจากนั้น ยังกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนานกว่าที่คาดไว้ หลังสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกสูงกว่าคาด

ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงหลังจากที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ขู่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารสหรัฐหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงเจพี มอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ

นายคริส วูล์ฟ นักวิเคราะห์ของฟิทช์กล่าวว่า ฟิทช์ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของภาคธนาคารสหรัฐสู่ระดับ AA- ในเดือนมิ.ย. แต่การปรับลดอันดับดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารแต่ละแห่ง อย่างไรก็ดี นายวูล์ฟเตือนว่า หากฟิทช์มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของภาคธนาคารสหรัฐอีกครั้งหนึ่ง สู่ระดับ A+ สิ่งนี้จะส่งผลให้ฟิทช์ต้องทำการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารมากกว่า 70 แห่งในสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารหลายแห่ง

ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของเจพีมอร์แกน และแบงก์ ออฟ อเมริกา อยู่ที่ระดับ AA- ซึ่งหากอันดับความน่าเชื่อถือของภาคธนาคารสหรัฐถูกปรับลดลงสู่ระดับ A+ ก็จะทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของเจพีมอร์แกน และแบงก์ ออฟอเมริกา ถูกปรับลดลงสู่ระดับ A+ ด้วย เนื่องจากอันดับความน่าเชื่อถือของรายธนาคารจะไม่สามารถสูงกว่าอันดับความน่าเชื่อถือของภาคธนาคาร

นายวูล์ฟแสดงความกังวลต่อการพุ่งขึ้นของการผิดนัดชำระหนี้ในภาคธนาคาร หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 เดือน หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกสูงกว่าคาดในวันนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.17% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.50% เมื่อเทียบรายเดือน ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.4%

ยอดค้าปลีกได้รับแรงหนุนจากยอดขายออนไลน์ในวัน Amazon Prime Day และหากไม่รวมยอดขายรถยนต์ ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 1% ในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.4%

ตลาดจับตารายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 25-26 ก.ค.ในวันพรุ่งนี้