“ชลน่าน-พวงเพ็ชร”จัดตั้งกุฏิชีวาภิบาลดูแลพระสงฆ์สามเณรผู้นำทางศาสนา

สธ.-พศ.เดินหน้าดูแลสุขภาพพระสงฆ์ 7.2 หมื่นรูป จัดตั้ง “กุฏิชีวาภิบาล” อำเภอละแห่ง อบรมพระคิลานุปัฏฐาก ดูแลพระอาพาธติดเตียง

  • เดินหน้าดูแลส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์
  • หลังพบยังอาพาธด้วยโรคไม่ติดเรื้อรังสูง
  • เตรียมจัดโครงการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ 72,000 รูป

 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังหารือกับนางพวงเพ็ชร ขุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เกี่ยวกับโครงการดูแลพระสงฆ์ สามเณร ผู้นำทางศาสนา ว่า  รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายยกระดับ 30 บาท เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มวัย โดยดูแลสุขภาพทุกมิติ ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การดูแลรักษา และการฟื้นฟูสภาพร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มพระสงฆ์ต้องมุ่งส่งเสริมให้มีความรู้ความเข้าใจ และมีทักษะในการดูแลสุขภาพอนามัยตามหลักพระธรรมวินัย เนื่องจากรายงานการตรวจสุขภาพพระภิกษุ-สามเณรในกรุงเทพมหานคร ปี 2566 จำนวน 1,518 รูป พบมีไขมันในเลือดผิดปกติ 55.4% มีภาวะอ้วน 44.3% ความดันโลหิตสูง 18.5% ภาวะเสี่ยงอ้วน 17.3% และระดับน้ำตาลในเลือดสูง 15.6% และรายงานของโรงพยาบาลสงฆ์ ปีงบประมาณ 2566 พบว่า พระสงฆ์อาพาธเข้ารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกด้วยโรคไตเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต่อมลูกหมากโต และเข่าเสื่อม ส่วนผู้ป่วยในคือ ความดันโลหิตสูง การสูญเสียการเห็นปานกลาง-ข้างเดียว เบาหวานชนิดที่ 2 ต้อกระจกในผู้สูงอายุ และต่อมลูกหมากโต 

สำหรบัการอาพาธของพระภิกษุสงฆ์มีสาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมสุขภาพ ทั้งการฉันอาหารที่ได้รับถวายจากญาติโยมที่ส่วนใหญ่หวานมันเค็มสูง ขาดผักและผลไม้ ฉันเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง และขาดการมีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำ “โครงการพระคิลานุปัฏฐาก” คือ ผู้ปฏิบัติดูแลพระสงฆ์อาพาธ รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การควบคุมโรคและการจัดการปัจจัยที่คุกคามสุขภาพพระสงฆ์ ตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ พ.ศ. 2560 ส่งผลให้ปี 2566 เกิดวัดส่งเสริมสุขภาพ 18,171 แห่ง มีพระคิลานุปัฏฐาก 13,114 รูป พระสงฆ์มีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์เพิ่มมากขึ้น อันดับหนึ่งคือ การแปรงฟัน ร้อยละ 90.57 รองลงมาคือ ไม่ฉันเครื่องดื่มน้ำอัดลม ร้อยละ 89.06 และไม่ฉันเครื่องดื่มชูกำลัง ร้อยละ 87.12 ส่วนพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์และยังต้องส่งเสริมเพิ่มเติม อันดับหนึ่งคือ การฉันผักและผลไม้สด ร้อยละ  49.75 รองลงมาคือ การนอนหลับ ร้อยละ 39.12 และไม่ฉันเครื่องดื่มชา/กาแฟ ร้อยละ  36.29

 นพ.ชลน่านกล่าวอีกว่า ข้อสรุปจากการหารือในที่ประชุมในการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ คือ 1.โครงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการสังฆาภิบาลเพื่อพระสงฆ์อาพาธ จะทำเป็นโครงการเทิดพระเกียรติในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา ซึ่งสอดรับกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข เรื่องโครงการเฉลิมพระเกียรติและโครงการในพระราชดำริฯ โดยจะดูแลสุขภาพพระสงฆ์ 72,000 รูป ในทุกมิติ มีโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเป็นฐาน และ พศ.ดูแลเรื่องเบิกค่าใช้จ่าย 2.การจัดทำวัดส่งเสริมสุขภาพและพระนักเทศน์ โดยให้วัดเป็นแหล่งสร้างองค์ความรู้ด้านสุขภาพ และพระนักเทศน์ให้องค์ความรู้สุขภาพแก่ประชาชน โดยทำหลักสูตรอบรม 1 วัด 1 รูป 3.การจัดทำระบบรักษาพระสงฆ์ที่คำนึงถึงพระธรรมวินัย เช่น การจัดอาคารสงฆ์อาพาธต่างๆ โดยดำเนินการในโรงพยาบาลที่มีความพร้อม 4.กุฏิชีวาภิบาล ดูแลพระสงฆ์อาพาธที่ติดเตียงหรือระยะสุดท้าย สอดรับกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขเรื่องสถานชีวาภิบาล โดยตั้งเป้าหมายเริ่มแรกอย่างน้อย 1 อำเภอ 1 วัด 5.จัดอบรมพระคิลานุปัฏฐาก เป็นผู้ดูแลพระสงฆ์อาพาธเสมือนเป็น อสม. ซึ่งที่ผ่านมามีการอบรม 70-75 ชั่วโมงจะปรับหลักสูตรเป็นอบรม 420 ชั่วโมง ให้เป็นผู้บริบาลพระสงฆ์ติดเตียงหรือ Care Giver ถือเป็นวิชาชีพมีฐานค่าใช้จ่ายรองรับและมีการใช้ระบบเทเลเมดิซีนเข้าไปดูแล

 6.การเข้าถึงบริการของพระสงฆ์ พศ.จะปรับข้อมูล Big Data เชื่อมโยงทั้งหมดเข้าสู่การดูแล จะมีการคิกออฟในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ เนื่องจากข้อมูลของ สปสช.ปัจจุบันมีพระสงฆ์ทั้งหมด 2.8 แสนรูป แต่อยู่ในทะเบียนระบบใช้สิทธิประมาณ 1 แสนกว่ารูป และหลายรูปไม่มีบัตรประชาชน โดยส่วนใหญ่จะแสดงหนังสือสุทธิของพระ จึงต้องเร่งเชื่อมข้อมูลระบบสุขภาพตามนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ ให้พระสงฆ์ได้รับการรักษาทุกที่เช่นกันตามที่กฎหมายบัญญัติ และ 7.การดูแลพระสงฆ์ที่ไปในดินแดนพุทธภูมิและผู้ที่ไปแสวงบุญ เดิมกรมการแพทย์ดูแล จะเพิ่มกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อใช้การแพทย์ทางเลือกในการดูแลด้วย