คาดนายจ้างจ่ายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำไม่ต่ำกว่าปีละ3หมื่นล้านบาท

  • หลังบอร์ดค่าจ้างเคาะขึ้นอีกวันละ5-6บาท
  • นักวิชาการยันเหมาะกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
  • นายจ้างย้ำรับได้ดีกว่าขึ้นรวดเดียว400บาท

 นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า  การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของคณะกรรมการค่าจ้าง อีก 5-6 บาทต่อวันทั่วประเทศนั้น จะทำให้ผู้ประกอบการต้องจ่ายเงินค่าแรงงานอีกปีละไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาททั่วประเทศ แต่การปรับขึ้นในระดับดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นอัตราที่สูงเกินไปและในมุมมองนักวิชการมองว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว และอาจทำให้ช่วยยืดระยะเวลาในการปลดคนงานออกไปอีก ซึ่งจะต่างจากเดิมที่มีการประเมินว่าจะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มอีก10-15 บาทต่อวัน ที่จะทำให้การปลดคนงานเร็วขึ้น

“การปรับค่าจ้างขั้นต่ำอีก 5-6 บาทต่อวัน เป็นระดับที่ภาคเอกชนพร้อมจ่ายมากขึ้น และสามารถประคองการจ้างงานเอาไว้ได้ เพราะหากปรับเกิน 10 บาทต่อวันทั่วประเทศก็จะมีผลกระทบต่อการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนของพนักงานระดับปวช.และปวส. เพื่อให้ช่องทางค่าจ้างขั้นต่ำกับเงินเดือนต่างกัน”

ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า บอร์ดค่าจ้างเคาะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อีก 6 บาทต่อวันใน 9 จังหวัด และขึ้น 5 บาททั่วประเทศ ถือว่า ผู้ประกอบการรับได้ เพราะขึ้นไม่ถึง 2% ของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งถือว่าทำให้มีความชัดเจน ไม่ใช่คลุมเครือ และนักลงทุนชาวต่างชาติก็ได้รับความชัดเจน เพราะที่ผ่านมานักลงทุนไม่มั่นใจว่าจะมีการขึ้นค่าแรง 400 บาท ทั่วประเทศหรือไม่ ทั้งนี้มติของบอร์ดค่าจ้างก็ต้องรอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติก่อน อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ประกอบการขนาดใหญ่และกลาง คงไม่กระทบมาก เพราะค่าแรงขึ้นไม่มาก แต่ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กหรือเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบเพิ่มอีก นอกเหนือจากผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งซึ่งถือว่าสำคัญมาก ดังนั้นเอสเอ็มอีจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับผลกระทบที่เกิดขึ้น

ส่วนนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า หากมีการปรับขึ้นค่าแรง 5-6 บาทต่อวัน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 นั้น น่าจะกระทบต้นทุนการผลิตสินค้าเล็กน้อย เพราะผู้ผลิตส่วนใหญ่ใช้เครื่องจักร ไม่ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก แต่หากผู้ผลิตจะขอปรับขึ้นราคาสินค้า ต้องมีการพิจารณาต้นทุนว่าสอดคล้องกับราคาที่จะปรับขึ้นหรือไม่ หากกรมพิจารณาแล้วไม่มีเหตุผลก็จะไม่อนุญาตให้ปรับขึ้นราคาแน่นอน ซึ่งกรมจะติดตามสถานการณ์ราคาอย่างใกล้ชิด โดยยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดขอปรับขึ้นราคาสินค้าเข้ามา