คลัง มั่นใจ ปี 65 เศรษฐกิจไทยโต 3-3.5% ส่งออกพระเอกหลัก

  • การท่องเที่ยวดีขึ้น
  • ปีหน้าคาดโตประมาณ 3-4%
  • มีเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐ

วันที่ 17 กันยายน 2565 นายอาคม เติมพิทยาพิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในรายการ คุยเรื่องบ้าน คุยเรื่องเมือง คุยทุกเรื่องกับรัฐมนตรี เห็นสัญญาณชัดแล้วว่า การท่องเที่ยวนั้นดีขึ้นแล้ว นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนเศรษฐกิจไทยดีขึ้นแน่นอน ดีกว่าใน ปี 2563-2564 ซึ่งในปี 2565 ก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3.0-3.5% โดยอีกปัจจัยที่เข้ามามีส่วน ช่วยคือ ภาคการส่งออก ที่ปีที่แล้วเติบโตเกือบ 20%
 
ส่วนปี 2565 นี้ตั้งแต่ต้นปี เฉลี่ยรวมถึงปัจจุบัน ก็ยังเติบโต ประมาณ 11% แต่เป้าหมายการส่งออก ที่เอกชนวางไว้คือ 8% ซึ่งก็ได้เชิญ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) มาคุยกัน เพื่อให้ความมั่นใจในว่าให้เศรษฐกิจของปี 2565 เติบโตได้ โดยมีภาคส่งออกเป็นตัว ขับเคลื่อน ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทก็อ่อน ซึ่งจะช่วยในเรื่องการส่งออก ดังนั้น จึงได้ขอความร่วมมือ กับ สรท. ทำเป็นเป้าหมายการทำงานให้ภาคส่งออกขยายตัวไปเป็น 10%
 
“การสนับสนุนการส่งออกนั้น ทั่วถึงคนทุกภาคส่วน จากค่าเงินอ่อน วัตถุดิบที่ต้องนำเข้านั้นก็แพงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ส่งออกอีกกลุ่ม คือ สินค้าเกษตร ที่ผลิตในประเทศ ทั้งข้าว ยางพาราเป็นต้น ซึ่งถ้าการส่งออกดี แน่นนอนว่า รายได้จะกระจายได้ทั่วถึง ถึงมือเกษตรกรหรืออุตสาหกรรมรถยนต์เอง ถ้ายิ่งการส่งออกดี คนแรงงานก็กลับมาทำงานเต็มกำลัง ก็มีรายได้กลับมาเต็มเช่นกัน” นายอาคม กล่าว
 
รวมถึงเม็ดเงินลงทุน จากภาครัฐ ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ที่กลับมาหลังจากมีปัญหาการระบาดโควิดในกลุ่มไซต์ก่อสร้าง ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวที่ 3 และตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวที่ 4 คือ การกระตุ้นบริโภคภายในประเทศ จากโครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และรวมกับ รายได้ที่กลับมา ทำให้อัตราการบริโภคในประเทศขยายตัวที่ 3-4% ก็ถือว่าใช้ได้ และตัวขับเคลื่อนสุดท้าย คือ การค้าชายแดน ซึ่งในช่งวิกฤตจะไม่กระทบมาก เพราะประเทศเพื่อนยังคงต้องบริโภคสินค้าจากไทยด้วย รวมถึง รัฐบาลได้ปลดล็อกให้ คนจากประเทศเพื่อบ้านข้ามเข้าชายแดนมาจับจ่าย ใช้สอยในประเทศไทยได้ บางส่วนไม่ได้ มาเพียงซื้อของแต่เข้ามาใช้สถานพยาบาลของไทย ซึ่งเป็นรายได้ที่เสริมเข้ามา
 
“เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ เติบโต 3-3.5% ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาเรื่องเดียว คือเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งรัฐบาลก็มีมาตรการช่วยเหลือแล้ว” นายอาคม กล่าว
 
นายอาคม กล่าวว่า โดยกระทรวงการคลัง ก็ออกมาตรการเสริมให้กระทรวงพลังงาน ในการออกมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล อย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศมีกองทุนอนุรักษ์ พลังงาน ที่เก็บเม็ดเงินมาเพื่อดูแลเรื่องประหยัดพลังงาน และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษา เสถียรภาพของราคาน้ำมันขายปลีก ซึ่งกระทรวงการคลัง ก็ช่วยขยายมาตรการ เก็บภาษีสรรพสามิตอัตราศูนย์สำหรับน้ำมันดีเซล (บี10) และน้ำมันเตาที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ออกไปอีก 6 เดือน และ เรื่องภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเป็นครั้งที่ 4 อีก 5 ต่อลิตร เป็นเวลาสองเดือน หรือถึง 20 พฤศจิกายนนี้ และหลังจากนี้ก็จะประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบอีกครั้ง ว่าดีขึ้นหรือไม่ และที่ช่วยลดภาษีนั้น ก็ช่วยให้กองทุนน้ำมัน มีสภาพคล่อง และสถานะติดลบน้อย เราะว่าขณะนี้ ติดลบที่ราวๆ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อให้กองทุนนั้นช่วยตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลได้ เพราะราคาน้ำมันดีเซลเป็นต้นทุนของประชาชนและภาคธุรกิจจำนวนมาก

ส่วนการฟื้นตัวเศรษฐกิจนั้น จะเป็นในรูปแบบค่อยๆ ปรับตัว ค่อยๆไต่ระดับ ซึ่งเศรษฐกิจในปี 2566 ในเรื่องของการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยว และส่งออก ก็ยังต่อเนื่อง และเติมด้วยการลงทุนของภาครัฐ เชื่อว่าการขยายตัวเศรษฐกิจในปี 2566 จึง ยังต่อเนื่อง ประมาณ 3-4% ตามคาดการณ์ตัวเลขที่ใช้ตั้งงบประมาณ ส่วนเงินในกระเป๋าประชาชนนั้น เมื่อเศรษฐกิจฟื้นก็มีเพิ่มขึ้นแน่นอน ซึ่งหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเงินของแต่ละคนแล้ว” นายอาคม กล่าว