“คลัง”หวั่นสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน”กระทบราคาน้ำมันดีเซลพุ่ง แนะขยายเพดานเงินกู้กองทุนน้ำมัน

  • ลดภาษีเพิ่มหวั่นกระทบรายได้
  • ส่งผลต่อปีงบประมาณ66
  • กองทุนน้ำมัน เคยติดลบเฉียดแสนล้านมาแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซล ที่เป็นต้นทุนการขนส่งสินค้านั้น กระทรวงการคลังมีความกังวลเป็นอย่่างมาก หากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนไปแตะที่ระดับราคา 120 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และรัฐบาลยังคงใช้นโยบายราคาน้ำมันดีเซลไว้ลิตรละไม่เกิน 30 บาทนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มเงินอุดหนุน เพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 

สำหรับวิธีการหาเงินมาเพื่ออุดหนุน เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้นั้น มีทั้งการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงอีก การขยับเพดานการตรึงราคาน้ำมันดีเซลใหม่ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น เพราะขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลก 100 เหรียญฯต่่อบาร์เรล ราคาขายปลีกดีเซลจริง อยู่ที่ลิตรละ  35 บาท หากราคาตลาดโลกขยับขึ้นไปแตะ 120 เหรียญฯต่่อบาร์เรล ราคาขายปลีกดีเซลจริง อยู่ที่ลิตรละ  40 บาท   และการปรับเพดานเงินกู้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สามารถกู้เพิ่มเติมได้ จากปัจจุบันครม.ได้อนุมัติให้กู้เงินภายในกรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท ซึ่งสถานะกองทุนน้ำมัน สามารถเข้าไปพยุงราคาน้ำมันได้ ในอดีตกองทุนฯเคยติดลบแล้ว 82,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันติดลบอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท  

ส่วนรัฐบาลจะเลือกวิธีการและแนวทางใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาล จะดำเนินการ ในฐานะกระทรวงการคลัง ก็ต้องเสนอความคิดเห็นว่า หากปรับลดภาษีดีเซลลงอีก รัฐก็จะสูญเสียรายได้ ซึ่งจะมีผลต่อเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในปี 2565 และมีผลต่อการบริหารจัดการงบประมาณในปี 2566 ด้วย  ขณะที่การขยับเพดานการตรึงราคาน้ำมัน รวมถึงการขยายเพดานเงินกู้ของกองทุนน้ำมันนั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงพลังงาน ที่ต้องไปพิจารณา และเสนอแนวทางให้รัฐบาลพิจารณาตัดสินใจต่อไป