คมนาคมเดินหน้าลงทุนระบบรางทั่วไทย

“สุริยะ” ดันโครงการลงทุนระบบราง เป้าหมายลดต้นทุนโลจิสติกส์เหลือ 9.5% ของจีดีพีภายใน 5 ปี กำหนดทิศทางขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมปี 2567 – 2568

  • สั่งทุกหน่วยงานระดมสมอง
  • ผลักดันนโยบาย Quick Win เดินหน้า 72 โครงการสำคัญ
  • วงเงินลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านบาท

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมไปสู่การปฎิบัติ หรือ Action Plan ปี 2567 และปี 2568   ว่า กระทรวงคมนาคมได้นำนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ เช่น ด้านการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม เป็นต้น โดยได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ไปพิจารณว่า จะดำเนินการอย่างไรให้ตอบโจทย์ดังกล่าว เพื่อยกระดับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์อยู่ที่ 10.5%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี)  ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะลดต้นทุนโลจิสติกส์อยู่ที่ 9.5-9.8% ต่อจีดีพีภายในระยะเวลา 5-6ปี ดังเช่นในประเทศที่เจริญแล้ว มุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางรางเป็นหลัก โดยกระทรวงคมนาคม จึงมีแผนในการพัฒนารถไฟทางคู่ เชื่อมต่อกับการขนส่งสินค้าทางถนนโดยรถบรรทุก

สำหรับการจัดทำ Action Plan ทุกหน่วยงานจะได้ร่วมกันระดมความคิดเห็นตลอดช่วงเวลาของการ Workshop ครั้งนี้ ตนได้มอบนโยบายให้เน้นย้ำการผลักดันนโยบาย Quick Win 2567 และ 2568 โครงการสำคัญ 72 โครงการ วงเงินลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านบาทให้เกิดขึ้นภายในรัฐบาลนี้ โดยโครงการดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. โครงการที่มีความสำคัญเชิงพื้นที่จำนวน 13 โครงการ 2. ด้านคมนาคมขนส่งทางบกจำนวน 29 โครงการ 3. ด้านคมนาคมขนส่งทางราง จำนวน 22 โครงการ 4. ด้านคมนาคมขนส่งทางอากาศ จำนวน 4 โครงการ และ 5. ด้านคมนาคมขนส่งทางน้ำจำนวน 4 โครงการ

นอกจากนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณานโยบายของนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคมโดยเฉพาะเรื่องต่างๆ ประกอบด้วย 1. นโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค 2. บูรณาการแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับเส้นทางในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงกับจีนตอนใต้ (รถไฟไทย – สปป.ลาว – จีน) โครงการ EEC และเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่นๆ และ 3. ให้ความสำคัญกับโครงการแลนด์บริดจ์ เปิดประตูการค้าสองฝั่งสมุทรทางภาคใต้

“โจทย์สำคัญที่เราตั้งเป้าไว้ภายใน 5 – 6 ปีนี้ จะต้องผลักดันการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ให้เทียบเท่ากับสากล โดยจะต้องอยู่ในระดับ 9.5 – 9.8% ซึ่งปัจจัยสำคัญคือการเร่งลงทุนระบบรางให้มากขึ้น โดยแผนลงทุนในปี 2567 – 2568 จะยังมีโครงการระบบรางรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 รวมไปถึงการผลักดันรถไฟฟ้าให้ถึงเป้าหมาย 554 กิโลเมตร”

ส่วนโครงการลงทุนทางอากาศ ตนได้มอบนโยบายให้เร่งพัฒนาขีดความสามารถและบริการของสนามบิน สู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่โครงการลงทุนทางน้ำ ต้องมองโอกาสการขยายท่าเรือเพื่อรองรับกลุ่มเรือสำราญขนาดใหญ่ ที่พบว่ามีแนวโน้มการขยายตัวมากขึ้น ส่วนการลงทุนทางบก ยังคงเร่งพัฒนาโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ให้เปิดบริการตามแผน

นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า โครงการลงทุนด้านคมนาคม แม้ว่างบประมาณปี 2567 จะดีเลย์ออกไป แต่กระทรวงฯ ได้กำชับทุกหน่วยงานให้เตรียมพร้อมเมื่องบประมาณได้รับจัดสรรแล้ว จะต้องเดินหน้าทันที เพราะปัจจุบันเชื่อว่าเอกชนก็พร้อมประมูลงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงคมนาคมว่า โครงการเตรียมเปิดประมูล และจะเริ่มต้นก่อสร้างในปี 2567 จากแผนดำเนินงานในเบื้องต้นมี อาทิ 1.รถไฟทางคู่ช่วงขอนแก่น – หนองคาย วงเงิน 29,748 ล้านบาท ระยะทางประมาณ 167 กิโลเมตร 2.สายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี งานโยธา ฝั่งตะวันตก และงานระบบวงเงินลงทุนประมาณ 1.4 แสนล้านบาท 3.ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา (M7) วงเงินลงทุน 4,508 ล้านบาท 4.สายสีแดงช่วงรังสิต – ม.ธรรมศาสตร์ วงเงิน 6,468 ล้านบาท

5.สายสีแดงช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา วงเงิน 10,670 ล้านบาท 6.รถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ – อุบลราชธานี วงเงิน 37,527 ล้านบาท 7.สายสีแดงช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช วงเงิน 4,694 ล้านบาท 8.ทางพิเศษ กะทู้ – ป่าตอง วงเงิน 14,670 ล้านบาท และ 9.ทางพิเศษสายจตุโชติ – ถนนวงแหวนรอบนอกฯ รอบที่ 3 วงเงิน 24,060 ล้านบาท เป็นต้น