คนไทยใช้จ่ายออนไลน์พุ่ง ยอดโอนเงินผ่านพร้อมเพย์พีคสุดทะลุ 30 ล้านรายการต่อวัน ปล่อยสินเชื่อดิจิทัลทะลุ 2,800 ล้านบาท ยันไม่ได้นิ่งนอนใจภัยการเงินออนไลน์ระบาดในขณะนี้ ได้ประสานกระทรวงดีอีเอส กสทช. ค่ายมือถือ หาทางป้องกันและแก้ไข ขณะที่สั่งสถาบันการเงินช่วยติดตาม และมีแนวทางดูแลลูกค้าหากได้รับความเสียหาย 18-19 ต.ค.นี้จัดงาน Bangkok FinTech Fair 2021 เร่งให้ความรู้ด้านดิจิทัลธุรกิจและประชาชน
น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา พัฒนาการของเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดในรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้ระบบการเงินของไทยหันมาใช้ระบบการเงินออนไลน์ และดิจิทัลมากขึ้น โดยล่าสุดยอดการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ 28 ล้านรายการต่อวัน และในวันที่สูงสุดยอดการใช้จ่ายสูงกว่า 30 ล้านรายการต่อวัน ขณะที่มีการปล่อยสินเชื่อดิจิทัล หรือสินเชื่อที่สมัตรและอนุมัติผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด วงเงินไม่เกิน 40,000 บาทต่อราย ตั้งแต่ต้นปี 64 จนสิ้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา 2,823 ล้านบาท และเชื่อว่า ในอนาคตระบบการเงินดิจิทัล และการให้บริการทางการเงิน และผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
ธปท.จึงได้จัดงาน Bangkok FinTech Fair 2021 Shaping Digital Finance in the New Decade: ก้าวสู่ทศวรรษใหม่ กับโลกการเงินไทยแห่งอนาคต ในวันที่ 18-19 ต.ค. โดยมีวัตถุประสงค์ช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการเงินดิจิทัล ทิศทางการนำเทคโนโลยีไปใช้พัฒนาประสิทธิภาพของการให้บริการทางเงินและของระบบการเงินอนาคต การเร่งให้เกิดการปรับตัวของภาคธุรกิจและภาครัฐเพื่อรับมือกับโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างเป็นรูปธรรม การให้ความรู้กับประชาชนเพื่อรับกับระบบการเงินที่เปลี่ยรเร็ว รวมถึงการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาดของโควิด-19
ส่วนกรณีที่ในขณะนี้มีการภัยการเงิน การหลอกลวงหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ในรูปแบบอื่นๆ และเอสเอ็มเอส (SMS) ถึงประชาชนให้คลิ๊กลิงค์เพื่อรับเงินฟรี หรือให้สินเชื่อนั้น น.ส.สิริธิดา กล่าวว่า ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผู้ให้บริการมือถือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะหาทางป้องกันเรื่องดังกล่าวให้ครอบคลุมมากขึ้น
โดยที่ผ่านมา ธปท.ได้มีการแจ้งเตือนกับประชาชน โดยขอให้ประชาชนอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอื่นเพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสารเพื่อนำไปใช้บรการทางการเงิน รวมถึงระมัดระวังการคลิ๊กลิงค์ต่างๆ โดยจะต้องหยุดคิดก่อน รวมถึงสอบถามไปยังหน่วยงานที่ส่งมาว่ามีการส่งเอสเอ็มเอสถึงลูกค้าในลักษณะดังกล่าวหรือไม่ นอกจากนั้น ธปท.ยังได้มีประสานไปยังสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการภายใต้การกำกับ ให้แจ้งเตือนให้ลูกค้ารับทราบและระมัดระวัง โดยให้ระบุให้ชัดเจนว่า สถาบันการเงิน และธปท. จะไม่มีติดต่อผ่านการส่งเอสเอ็มเอสโดยตรงกับลูกค้าเพื่อให้ทำธุรกรรมการเงิน เช่น การให้เงินกู้ฟรี หรือให้คลื๊กลิงก์ต่างๆ ขณะเกียวกับ ได้กำชับให้สถาบันการเงินติดตามตรวจสอบ หาทางรับมือ รวมทั้งได้ประสานงาพื่อสร้างระบบป้องกันในอนาคต และการช่วยเหลือลูกค้ากรณีที่เกิดปัญหาขึ้นด้วย
