- ชดเชยการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
- ในการชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนกลุ่มธนาคารโลก 2 แห่ง
- เหตุค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่าที่สำนักงบประมาณได้ประมาณการไว้
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ได้เห็นชอบตาม ครม. ได้อนุมัติในหลักการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลังใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินทั้งสิ้น 200.6 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับชดเชยการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนในการชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนแบบสามัญและเฉพาะเจาะจงของกลุ่มธนาคารโลก ปี 2561
การดำเนินการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในกลุ่มธนาคารโลกของประเทศไทย เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2561 ที่ได้เห็นชอบให้กระทรวงการคลังซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบสามัญและแบบเฉพาะเจาะจงของธนาคารในกลุ่มธนาคารโลก 2 แห่ง (จากทั้งหมด 5 แห่ง) ได้แก่ ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและวิวัฒนาการ (International Bank for Reconstruction :IBRD) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (International Finance Corporation :IFC) รวมวงเงิน 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2,652 ล้านบาท ซึ่งผลการเพิ่มทุนดังกล่าวจะส่งผลให้ประเทศไทยมีอำนาจการออกเสียงใน IBRD เพิ่มเป็นร้อยละ 0.5 จากเดิม ร้อยละ 0.49 และใน IFC เพิ่มเป็นร้อยละ 0.52 จากเดิมร้อยละ 0.46
โดยระหว่างปีงบประมาณ 2563-2565 กระทรวงการคลังได้ดำเนินการชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนของ IBRD และ IFC มาแล้ว 3 ครั้งรวมทั้งสิ้น 54.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมียอดคงเหลือที่ต้องชำระในปีงบประมาณ 2566 เป็นงวดสุดท้ายจำนวน 23.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ชำระค่าหุ้นจริงในปีงบประมาณ 2563-2565 ค่าเงินบาทได้อ่อนค่ากว่าที่สำนักงบประมาณได้ประมาณการไว้ ทำให้เกิดการชำระค่าหุ้นน้อยกว่าแผน ดังนั้นในปีงบประมาณ 2566 จึงคาดว่าตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้กระทรวงการคลังจะชำระเงินค่าหุ้นได้ 17.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังขาดอีก 6.02 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 200.6 ล้านบาท กระทรวงการคลังจึงจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณเพิ่มเติมตามวงเงินตามที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้