WHO เตือนฉีดวัคซีนต้านโควิดสูตรผสมมีแนวโน้ม “อันตราย”

.เหตุยังไม่มีข้อมูล-หลักฐานยันชัดเรื่องผลข้างเคียง

.หลังนานาชาติมีนโยบายฉีดสูตรผสมให้ประชาชน

.ตำหนิไฟเซอร์-โมเดอร์นาผลิตวัคซีนตอบสนองประเทศร่ำรวย

หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ประจำองค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนอันตราย กรณีที่หลายประเทศออกนโยบายฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบผสมสูตร  

ดร. โสมยา สวามีนาธาน หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ WHO กล่าวระหว่างการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่สำนักงานใหญ่ของ WHO เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ วานนี้ (12 ก.ค.) ว่า กรณีที่หลายปะรเทศกำลังดำเนินการนำวัคซีนจากผู้ผลิตหลายรายมาฉีดให้กับประชาชนแบบผสมกัน ถือเป็น “แนวโน้มที่อันตราย” เพราะยังมีข้อมูลการวิจัยว่าด้วยการฉีดวัคซีนแบบผสมสูตรอยู่น้อยมาก จนไม่อาจจะทราบได้ว่าจะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง 

“การผสมสูตรฉีดวัคซีนต่างชนิดกัน เป็นกระแสความนิยมที่ค่อนข้างเสี่ยง เรายังอยู่ในขั้นที่ยังไม่มีข้อมูลหลักฐานใดๆ ที่จะมาสนับสนุนเรื่องนี้…สถานการณ์ในอนาคตอาจตกอยู่ในความปั่นป่วนได้ หากประชาชนเริ่มตัดสินใจเองว่าจะฉีดวัคซีนเข็มที่2 3 4 หรือไม่ อย่างไร และจะฉีดเมื่อใด”  

ดร. โสมยา กล่าวเสริมอีกว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันถึงความจำเป็นของการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หากได้รับวัคซีนครบโดสไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ที่อาจต้องฉีดวัคซีนเข็ม 3 ในอนาคต  

ด้านนายเทดรอส อาดานอม เกเบรเยซัส ผู้อำนวยการ WHO แถลงด้วยว่า ยังคงมีความไม่เท่าเทียมใน การกระจายวัคซีนไปยังประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน โดยตอนนี้ประเทศที่ร่ำรวยเริ่มสั่งจองวัคซีนเพิ่มเติม สำหรับฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นเข็มที่ 3 แล้วหลายล้านโดส แต่ประเทศรายได้ปานกลางและยากจนส่วนใหญ่ยังคงขาดแคลนวัคซีน หรือมีไม่พอแม้แต่จะฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ก่อน 

“ผู้ผลิตวัคซีนอย่างไฟเซอร์ และโมเดอร์นากำลังมุ่งผลิตวัคซีนป้องกันโควิด เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศร่ำรวย ที่มีอัตราการได้รับวัคซีนสูงอยู่แล้ว ทั้งที่ 2 บริษัทนี้ควรจะเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ (COVAX) เพื่อช่วยกระจายวัคซีนไปยังประเทศที่ขาดแคลนอยู่มากกว่า” 

ทั้งนี้ รัฐบาลของหลายประเทศมีนโยบายที่จะฉีดวัคซีนสูตรผสม โดยผู้เชี่ยวชาญของบางประเทศ กำลังพิจารณาว่า ควรฉีดวัคซีน mRNA ของโมเดอร์นาเป็นเข็ม 3 ให้กับผู้ที่ฉีดวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ครบโดสแล้ว ขณะที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติของไทย มีมติเห็นชอบวานนี้ (12 ก.ค.) ให้ฉีดวัคซีนต่างชนิดร่วมกันได้ โดยผู้ได้รับวัคซีนซิโนแวก เข็มที่ 1 แล้วให้ฉีดเข็มที่ 2 เป็นแอสตราเซนเนกา โดยฉีดเว้นระยะห่างกัน 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาจากอินเดีย 

รายงานล่าสุดของ WHO ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดจากทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4  ติดต่อกันแล้ว ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตก็กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากมีแนวโน้มลดลงตลอดช่วง 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลงนี้มีสาเหตุจากการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา ซึ่งมีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย แต่ได้แพร่กระจายไปยังกว่า 104 ประเทศทั่วโลกแล้ว