WHO พบโควิดกลายพันธุ์ “เดลตาครอน” ในหลายประเทศ

  • ชี้เดลตาครอนเป็นลูกผสมของ “เดลตา-โอมิครอน”
  • พบทั้งในฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก บราซิล
  • ล่าสุดกำลังติดตามการระบาดอย่างใกล้ชิด

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “เดลตาครอน” ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาและโอมิครอน ในหลายประเทศ ทั้งฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก และบราซิล

นอกจากนี้ ฐานข้อมูลโควิดโลก GISAID ยังระบุด้วยว่า “มีหลักฐานที่เชื่อถือได้” ซึ่งบ่งชี้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสเดลตาครอนเกิดขึ้นจริง โดยเมื่อเดือนม.ค.65 ศาสตราจารย์ลีออนดิโอส คอสทริคิส หัวหน้าศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและไวรัสวิทยาระดับโมเลกุลแห่งมหาวิทยาลัยไซปรัส เป็นผู้ค้นพบไวรัสกลายพันธุ์ดังกล่าวเป็นคนแรก ขณะที่ WHO ได้ติดตามการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มาตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. หลังจากตรวจพบผู้ติดเชื้อคนแรกในฝรั่งเศส

ขณะเดียวกัน วันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางการบราซิล ระบุว่า พบผู้ติดเชื้อเดลตาครอน 2 รายแรกของประเทศในรัฐอามาปา และรัฐปาราทางตอนเหนือ โดยทางการบราซิลได้เร่งให้ประชาชนเข้ารับการซีนวัคซีนให้ครบโดส แม้ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่จะปรับตัวลงก็ตาม

ด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯรายงานว่า ทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ในสหรัฐฯเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นราว 5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่เริ่มต้นเดือนธ.ค.64 กับช่วงการระบาดสูงสุดของสายพันธุ์เดลตา

ผลการศึกษาจาก CDC ชี้ว่า ทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน มีอัตราเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสูงสุด ขณะเกิดการระบาดของโอมิครอน แต่อาการรุนแรงไม่แตกต่างกันหากอิงตามกลุ่มอายุ โดยระบุว่า โควิด-19 อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยหนักในทารกและเด็ก รวมถึงผู้มีอายุ 0-4 ปี ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

ทั้งนี้ CDC เสนอกลยุทธ์สำคัญในการป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มทารกและเด็กเล็ก เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ประชากรกลุ่มอื่น ๆ ที่สามารถฉีดได้ อาทิ สตรีมีครรภ์ สมาชิกในครอบครัว และผู้ดูแลทารกและเด็กเล็ก