

ผู้อ่านคงคุ้นเคยกับสำนวนที่ว่า ไม่มีมิตร และศัตรูถาวรในทางการเมือง เป็นอย่างดีมาแล้ว?! จึงไม่ต้องกังขาคาใจว่า ทำไม พี่เหลิม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จึงออกมาประกาศกร้าวท้าทาย ทักษิณ ชินวัตร ให้ไล่เขาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
เป็นการสิ้นสุดทางเดินร่วมกันในความเป็นเพื่อนที่ยาวนานกว่า 30 ปี แถมพี่เหลิม ยังไม่ขอมีบั้นปลายชีวิตร่วมกันกับ ทักษิณ อีกต่อไปด้วย
ฟังดูแล้วเหมือนลึกๆพี่เหลิมจะมีอะไรขมๆที่สะสมอยู่ในใจมานาน ยิ่งพูดเรื่องเก่าๆก็ยิ่งเจ็บลึกเหมือนใครเอามีดมาแทงจนทะลุไปถึงข้างหลัง
ยิ่งมองย้อนกลับไปในอดีต อันเป็นจุดเริ่มต้น ของ ความเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อสาร และ โทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ ของ ชินคอร์ป ก่อนจะปิดดีลครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศด้วยการขายธุรกิจแบบเหมาเข่งให้แก่ เทมาเสก โฮลดิ้ง คอมปานี จาก สิงคโปร์ ไปในราคากว่า 74,000 ล้านบาท
สีหน้า ท่าที กับน้ำเสียงแหบแห้งที่เค้นออกจากปากพี่เหลิม ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นความช้ำใจของมหามิตรที่ถูกผลักไสให้กลายเป็นศัตรูมากเท่านั้น
“เกิดพายัพ แต่ชื่อ ทักษิณ ถ้าไปพูดว่าใครมีบุญคุณต่อกัน ไม่มีใครรู้หรอก แต่ผมซิรู้ ฟ้าดินรู้ ใครมีบุญคุณกับใคร…แล้วใครจะรู้ประวัติเดิมอ่ะ นอกจากทักษิณ ใครจะรู้ประวัติเดิมของผม นอกจากผม ใครจะรู้ประวัติเดิมของ ทักษิณ…
นอกจากผมแล้ว ใครจะรู้ว่า ทักษิณ เคยไปนั่งอยู่ อ.ส.ม.ท. นอกจากผม ใครจะรู้ว่า ทักษิณ ไปเช่าเวลาที่ อ.ส.ม.ท.นอกจากผมแล้ว ใครจะรู้ว่า ใครอนุมัติ IBC ให้ทักษิณ คนอื่นจะรู้เหรอ…ต้องผม ชื่อ เฉลิม อยู่บำรุง A man call…ไม่มีใครมีบุญคุณต่อกัน ผมไม่ได้มาพูดเอาบุญคุณ แต่ถ้ามาดีเบตกันล่ะก็ สนุก!!”
ถึงตรงนี้ พี่เหลิม อาจไม่เคยได้ยินประโยคที่ว่า “บุญคุณมีวันหมด”
ทีนี้มาเจาะลึกเข้าไปในคำพูดที่ว่า นอกจากผมแล้วใครจะรู้ว่า ใครอนุมัติ IBC ให้ทักษิณ …แน่ใจรึเปล่า?
ช่วงเวลาที่พี่เหลิม เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คุม องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย(อสมท.)ราวปี 29 – 30 ขณะนั้น ทักษิณ เป็นนักธุรกิจคนแรกที่ใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจด้วยการเดินเข้าหานักการเมือง เพื่อบอกความต้องการของตน
ทักษิณ หรือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ อดีตนายตำรวจติดตาม พล.อ.ประจวบ สุนทรางกูร เบนเข็มจากราชการ มาเป็นนักธุรกิจไฟแรงเต็มตัวหลังประสบความสำเร็จจากการขายเครื่องมือสื่อสารให้แก่กรมตำรวจ
เขามักจะเดินทางมาทำเนียบเพื่อพบ พี่เหลิม ด้วยตนเองและนำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ให้กับช่อง 9 อสมท. ให้เป็นช่องทางใหม่สำหรับผู้ชมโทรทัศน์ที่มีสถานีโทรทัศน์อยู่เพียงไม่กี่ช่อง ได้มีโอกาสรับชมข่าวสาร และความบันเทิงจากต่างประเทศ ด้วยธุรกิจเคเบิ้ลทีวีแบบบอกรับสมาชิกของเขาที่ชื่อ IBC : International Broadcasting Corporation เรียกสั้นๆว่า IBC Cable TV
ก่อนจะมีการตกลงกันทางธุรกิจ มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะๆว่า คณะกรรมการบอร์ดของ อสมท.คำนวนผลตอบแทนที่จะได้รับจากธุรกิจในช่องทางใหม่นี้ไว้ราว 25% แต่หลังจากมีข่าวหลุดรอดออกมาเป็นระยะๆว่า มีผู้ไม่เห็นด้วย นัยว่า จึงมีคำสั่งจากทำเนียบให้ปรับเปลี่ยนตัวเลขใหม่
ระหว่างนั้น กลุ่มนักข่าวทำเนียบที่ตีแผ่เรื่องนี้ ถูกอาการยียวนให้หยุดการทำข่าวนี้ทันที ตามด้วยคำขู่ต่างๆนานา จนสมาชิกในกลุ่มค่อยๆหดหายไปทีละคนสองคน เหลือแค่บางคนในกลุ่ม และบางคนนั้น ก็ถูก พี่เหลิม คุกคามด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ขู่จะไล่ออกจากทำเนียบ ไม่ก็จะยัดข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงให้ เป็นต้น
ใครทำข่าวทำเนียบรัฐบาลในเวลานั้น น่าจะจดจำท่าทีที่หยาบคาย และแข็งกร้าวของนักการเมืองอย่าง พี่เหลิม ในฐานะรมต.สำนักนายกฯได้บ้าง เพราะเขาตามราวีนักข่าวเหมือนผู้ต้องหาในคดีอาชญากรรม ยังไงยังงั้น
เรื่องตะโกนด่ากราดจากตึกบัญชาการออกมา หรือ ผรุสวาทระหว่างการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ กระทั่งถึงการเดินมายังรังนกกระจอกเพื่อสบถใส่นักข่าว อย่างสาดเสียเทเสียไปถึงเจ้าของสำนักพิมพ์ในเวลานั้น กลายเป็นข่าวประจำ
วันที่นักข่าวผู้ตกเป็นเหยื่อ จำต้องนั่งฟังอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว หาไม่อาจถูกลากออกจากทำเนียบได้ และสิ่งที่ทำได้ คือ หยิบเทปมาอัดเสียง พี่เหลิม ไว้ เผื่อพี่แกจะคุกคามเลยเถิดไปมากกว่า คำพูด
สถานการณ์ในห้วงเวลานั้น พี่เหลิมคงทำตามยุทธวิธีเก่าๆที่ร่ำเรียนมาของตำรวจ คือ ข่มขู่ให้ผู้ต้องหากลัวจะได้เลิกราไป นี่ถ้าเป็นผู้ชาย พี่เหลิม คงลากคอเข้าห้อง น้ำ เอาบุหรี่จี้ไข่ไปแล้ว
อีกด้านหนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่า พี่เหลิม แกจริงจัง และจริงใจเพื่อปกป้อง ทักษิณ และ เคเบิ้ล ทีวี ของเขาไว้ให้เดินหน้าสู่ความสำเร็จให้จงได้ แล้วมันก็สำเร็จสมดังใจปรารถนาจริงๆ
จะว่าไป การมีโปรเจกต์ใหม่ๆที่ทันสมัยกว่า ดีกว่า และประสงค์ให้บริการเพื่อความบันเทิงแก่ผู้คน เป็นเรื่องที่ดี แต่ด้วยเหตุผลอันใดเล่า ทำไมจึงต้องคุกคามไม่ให้ออกข่าวนี้?!
และเมื่อเรื่องราวบานปลายไปย่ำยีเจ้าของสำนักพิมพ์ ท้ายที่สุด นักข่าวก็ต้องเดินจากทำเนียบมา เอาสมองไปทำเรื่องอื่นที่ดีกว่า ได้สาระประโยชน์แก่ผู้อ่านมากกว่าเรื่องเลอะๆเทอะๆของการเมืองไทย
นี่ถ้า พี่เหลิม ไม่พูดถึงเรื่องนี้ ย่าก็ไม่ต้องมานั่งเล่าเรื่อง Toxic ในชีวิตให้ใครฟังหรอก!!
คุณย่าขาซิ่ง