SUBCON Thailand 2024 ดึง บริษัทระดับโลก ลงทุนไทย

SUBCON บริษัทระดับโลก ลงทุนไทย
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เปิดงาน SUBCON Thailand 2024


นายกฯเศรษฐา ระบุ ในงาน SUBCON Thailand 2024 สามารถชักชวน บริษัทระดับโลก มา ลงทุนไทย แนะผู้ประกอบให้ความสำคัญใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตและประกอบในไทย

วันนี้ (15 พฤษภาคม 2567) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เปิดงาน SUBCON Thailand 2024  จัดระหว่างวันที่ 15-18 พฤษภาคม 2567

นายกฯเศรษฐา ระบุ งาน SUBCON Thailand 2024 ดึง บริษัทระดับโลก ลงทุนไทย

โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ร่วมกับสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน) และบริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 

ภายใต้แนวคิด “The Global Sourcing Excellence”  ชูศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการจัดซื้อและรับช่วงการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

โดยรวบรวมผู้ผลิต และผู้ซื้อชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ทั้งในและต่างประเทศ ไว้ในงานเดียว เป็นจุดนัดพบสำคัญ สำหรับการจัดซื้อชิ้นส่วน ในหลากหลายอุตสาหกรรม

เช่น ยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เครื่องมือแพทย์ การซ่อมบำรุงอากาศยาน และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เป็นต้น

โดยมีประธานผู้แทนการค้าไทย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เอกอัครราชทูต ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ดีใจที่งานนี้ จัดมา 17 ปีแล้ว เป็นการนำ นักอุตสาหกรรมของไทย และต่างประเทศ มาพบและทำธุรกิจ และสิ่งที่ตอกย้ำ คือ มีบริษัทระดับโลก มาตั้งโรงงานการผลิตที่ไทย

ดังนั้น การใช้ชิ้นส่วน ที่ประกอบและผลิตในเมืองไทย เป็นเรื่องที่ทุกบริษัท ควรให้ความสำคัญ เป็นอย่างยิ่ง โดยจากการพูดคุยกับ ผู้บริหาร ได้ขอให้ หารือกับผู้ประกอบการ นักลงทุนในเรื่องนี้

คือให้ใช้ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ที่ผลิตขึ้นในไทย และประกอบที่ไทยเช่นกัน

ยืนยันนโยบายรัฐบาลประเทศไทย ไม่ลำเอียงไปหาชาติใดชาติหนึ่ง

นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุน และร่วมพัฒนาอุตสาหกรรม การรับช่วงการผลิตไทย ให้มีความเข้มแข็ง และเกิดการเชื่อมโยง กับอุตสาหกรรมที่สำคัญ ทั้งในไทยและต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง

และกล่าวถึง สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน ที่มีความผันผวน ทั้งปัจจัยจาก Geo-politics สงครามรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ฮามาส

รวมถึงสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เป็นต้น แต่ด้วยการดำเนินนโยบายความเป็นกลางด้าน Geo-politics ของประเทศไทย ตั้งแต่รัฐบาล ที่ผ่านมา จนถึงรัฐบาลนี้ ในจุดยืนความเป็นกลาง ด้านการเมือง ที่ไทยไม่เป็นคู่ขัดแย้ง แต่เป็นผู้สนับสนุน การให้มี ความสงบในทุก ๆ ภูมิภาค

ซึ่งถือเป็น เรื่องที่สำคัญยิ่ง สำหรับคนไทยทุกคน และจุดยืน ของไทย ที่มีความเป็นกลางด้าน Geo-politics สามารถส่งผลเชิงบวก อย่างมหาศาล ต่อภาคอุตสาหกรรม การผลิตของไทย

และเป็นจุดแข็ง ของการค้า การลงทุน ในการดึงดูด นักลงทุนเข้ามาลงทุน ในประเทศไทยได้ โดยรัฐบาล ได้เดินหน้า ดึงดูดการลงทุน ซึ่งมองหาความเป็นกลางนี้

โดยยืนยัน นโยบายรัฐบาลประเทศไทย ไม่ลำเอียงไปหาชาติใดชาติหนึ่ง มุ่งการค้าขาย อย่างเดียวกับทุกประเทศ และยึดมั่นความสงบสุข เพื่อทำให้ขบวนการผลิตไม่สะดุดและเดินต่อไป

ชูจุดแข็งไทย เรื่องพลังงานสะอาด

นอกจากนี้  ไทยยังมีจุดแข็งเรื่องของพลังงานสะอาด ที่สามารถดึงดูดนักลงทุน มาลงทุนในไทยได้ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญและสนับสนุนในเรื่องนี้ อย่างต่อเนื่องจริงจัง

และขอความร่วมมือ บริษัทขนาดใหญ่ต่าง ๆ ในการดำเนินการ และสนับสนุนเรื่อง Supply Chain อุตสาหกรรมนี้ด้วย  รวมไปถึงรัฐบาล ได้เดินหน้า ขยายเรื่อง FTA  กับประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

ทั้งศรีลังกา ตะวันออกกลาง ยุโรป อังกฤษ ฯลฯ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิตไทย สามารถส่งออกสินค้าไปจำหน่าย ได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งไทย ยังมีศักยภาพ ในด้านต่าง ๆ ในการดึงดูด นักลงทุน มาลงทุนในประเทศไทย

ทั้งเรื่องด้านการแพทย์ การมี International school ที่ดี Health care system ที่ World class  รวมถึงการที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องความสะดวก ในการทำธุรกิจ (Ease of Doing business) ที่จะมีการแก้ไข และพัฒนา ต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Single Window และ One stop service ซึ่งเชื่อว่า การดำเนินการ ขับเคลื่อนเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวของรัฐบาลเป็นปัจจัยที่จะทำ ให้นักลงทุน เกิดความเชื่อมั่นและเชื่อใจ ในการที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ได้มากขึ้น

นายเศรษฐา กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เคยเป็น  Detroit of Asia มาก่อน โดยมีบริษัทใหญ่ ๆ ได้มาลงทุนในประเทศไทย ทั้ง ฮอนด้า โตโยต้า อีซูซุ ที่มาลงทุนในประเทศไทย 50 -60 ปีแล้ว

และมีมูลค่า การลงทุน เป็นล้านล้านบาท ซึ่งประเทศไทย มาได้ไกลขนาดนี้ ส่วนหนึ่งและส่วนใหญ่ ก็เป็นเพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ และนักลงทุน จากญี่ปุ่น มาร่วมกันลงทุนตรงนี้

วางเป้าจับคู่ธุรกิจ 9,000 คู่ สร้างมูลค่าวงเงิน 20,000 ล้านบาท

ไทยเองก็เป็นเจ้าบ้าน ในการให้การต้อนรับ และสนับสนุนที่ดี และมี Supply Chain ที่แข็งแกร่ง ซึ่งตรงนี้ ไทยก็ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ต่อไป

รวมไปถึง อุตสาหกรรยานยนต์ ของญี่ปุ่นด้วย โดยไทยเจรจาและจะให้ Incentive อย่างต่อเนื่องในการที่จะเปลี่ยนผ่าน ไปสู่อุตสาหกรรม EV ต่อไป

ทั้งนี้การที่ประเทศไทย จะเป็นศูนย์กลาง การส่งออกรถยนต์ได้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมก็มีความสำคัญ โดยรัฐบาลได้มีการดำเนินโครงการต่าง ๆ ทั้ง ระบบราง สนามบิน ท่าเรือน้ำลึกปัจจุบันอยู่ในเฟส 3 

โครงการ Landbridge โครงการรถไฟความเร็วสูง ที่จะมาส่งเสริมการเป็น Supply Chain อุตสาหกรรมนี้และทำให้ประเทศไทยมีจุดยืนที่มั่นคงในเวทีการค้าโลก

สำหรับไฮไลท์ ของการจัดงานในปีนี้ คือ กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ระหว่างผู้ประกอบการชิ้นส่วนไทย และบริษัทรายใหญ่จากทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 9,000 คู่ คาดว่าจะสร้างมูลค่าเชื่อมโยงกว่า 20,000 ล้านบาท

พร้อมด้วยกิจกรรมพิเศษ “BOI Symposium: EV Supply Chain” ซึ่งจะมีบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งแผนการจัดซื้อและสนับสนุนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ

ช้อมูลอ้างอิงจาก รัฐบาลไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : SUBCON Thailand 2024, BOI and alliances organise