

ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย รับ “SMFG19” ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) ที่อ้างอิงหุ้นSumitomo Mitsui Financial Group, Inc. สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุด ของประเทศญี่ปุ่นออกโดยบล. หยวนต้าเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 29 พ.ค. นี้
DR “SMFG19” อ้างอิงหุ้นของบริษัท Sumitomo Mitsui Financial Group, Inc. เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น มีบริการที่ครอบคลุมทั้งบริการสินเชื่อ บริการหลักทรัพย์ และบริการบัตรเครดิต ในหลายประเทศทั่วโลก
โดย SMFG จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) ประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ DR “SMFG19” จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม2567 เป็นต้นไป
DR เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท ผู้สนใจศึกษารายละเอียดDR “SMFG19” ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต.www.sec.or.thหรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัดhttps://dr.yuanta.co.thหรือศึกษาผลิตภัณฑ์DRเพิ่มเติมได้ที่www.setinvestnow.com/th/dr
ผลประกอบการ บจ.ไตรมาส 1 ดีขึ้น
บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ภาพรวมรายได้และกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากกว่างวดเดียวกันของปีก่อน และธุรกิจการเงินได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 816 บริษัท คิดเป็น 98.31% จากทั้งหมด 830 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 31 มีนาคม 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่ามีบจ. รายงานกำไรสุทธิ 646 บริษัท คิดเป็น 79.17% ของบจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 4,398,203ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% ต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้น 3.1%ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงขึ้น 6.8% ซึ่งส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 466,858 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 264,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% และ 1.7% ตามลำดับ สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 31 มีนาคม 2567 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) คงที่อยู่ที่ระดับ 1.52 เท่า
“ภาพรวมผลประกอบการดีขึ้นจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวส่งผลให้ธุรกิจการบริการและที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีกำไรดีขึ้น เช่น ธุรกิจโรงแรม การบิน พื้นที่เช่า ค้าปลีก และโทรคมนาคม ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งให้ผลประกอบการของธุรกิจการเงินเติบโต แต่อาจกดดันต้นทุนทางการเงินต่อธุรกิจอื่นๆ” นายแมนพงศ์กล่าว
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไตรมาส 1 ปี 2567 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 54,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% ต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพิ่มขึ้น 6.7% และ 6.4% ตามลำดับ ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 5,259 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 4,607 ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเตือนอย่าลงเชื่อมิจฉาชีพ