“เอก อังสนานนท์” เผย อำนาจสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการจริง อยู่ที่กก.วินัยร้ายแรง พร้อมยืนยัน “บิ๊กโจ๊ก” หมดสิทธิ์ชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. คนที่ 1
- อำนาจสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการจริง
- อยู่ที่กก.วินัยร้ายแรง
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ และอดีตรองผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ในรายการ THE ROOM EXCLUSIVE ถึงมติ ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัยว่าคําสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้ นายกฯต้องยื่นทูลเกล้าฯหรือไม่ พล.ต.อ.เอก ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะเอาผลการพิจารณาของ ก.พ.ค.ตร. เรียนให้ทางนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตามกฏหมายกำหนดไว้ว่ากรณีที่มีคำสั่งให้ข้าราชการระดับรองผบ.ตร.ขึ้นไป
พ้นจากราชการ ตามกฏหมายที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาตรา 140 ว่านายกมนตรีจะต้องนำความกราบบังคมทูล เพื่อให้ทรงมีพระกรุณาพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งขั้นตอนต่อไปนายกก็ต้องทำเช่นนั้น และจะใช้ระยะเวลาในการกราบบังคมทูลเท่าไหร่นั้น ตามกฎหมายไม่ได้มีการกำหนดกรอบระยะเวลาไว้
ส่วน สถานะของพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ว่าด้วยตามกฎหมาย ทางกฎหมายได้บัญญัติไว้ในมาตรา 133 (4) หากมีกระบวนการในเรื่องของการทำให้พ้นจากตำแหน่งเสร็จสมบูรณ์ โดยการกราบบังคมทูลก็ถือว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ พ้นจากตำแหน่ง รอง.ผบ.ตร. และไม่ได้มีสถานะเป็นข้าราชการตำรวจ
ซึ่ง ถ้าหากว่าพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่มีสถานะเป็นรองผบ.ตร. ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นแคนดิเดตในการที่นายกรัฐมนตรีจะเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นผบ.ตร. วาระการแต่งตั้ง ในวันที่ 2 เดือนตุลาคมของปีนี้
เมื่อถามว่า ในอนาคตเส้นทางของพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หากยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดแล้ว สามารถกลับเข้ารับราชการตํารวจได้อีกหรือไม่ พล.ต.อ.เอก ระบุว่า เมื่อพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไปยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุดแล้ว ณ เวลานี้ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีการเสร็จสิ้นจากทางศาลปกครองสูงสุดเมื่อไหร่
หากสมมุติว่าเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 1 ปี แล้วมีคำวินิจฉัยเป็นคุณต่อพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็ต้องมีการแจ้งยกเลิกคำสั่งให้ออกจากราชการ โดยพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์จะได้กลับมาเป็นรองผบ.ตร. และมีผลย้อนไปตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567
ซึ่งยังมีเรื่องคณะกรรมการสอบสวนวินัยที่ต้องติดตาม หากสอบสวนแล้วได้ผลว่าพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กระทำความผิดจริง ผู้บังคับบัญชาจะต้องมีคำสั่ง สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชจริงทันที แต่หากสอบสวนแล้วว่าพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่ผิดก็ต้องสั่งยุติคำสั่งก่อนหน้านี้
และเรียกพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กลับเข้ามารับราชการ ซึ่งคำสั่งที่ออกจากราชการไว้ก่อน ที่มีการสู้กันในศาลปกครองชั้นสูงสุดจะถือว่าจบสิ้นทันที และไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะคำตัดสินจริงๆที่จะให้พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการคือการสอบสวนจากวินัย
หากคำสั่ง ของคณะกรรมการสอบสวนวินัยที่อยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวน มีคำสั่งว่าพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ผิดวินัยจริง นั่นหมายความว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะต้องออกจากราชการเลย จากนั้นพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็จะต้องไปร้องอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. อีกครั้งนึง ซึ่ง ก.พ.ค.ตร.ก็ต้องพิจารณา
และ หากวินิจฉัยว่าไม่เป็นคุณต่อพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ทางพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะต้องใช้สิทธิฟ้องศาลปกครองสูงสุด โดยเป็นเรื่องของการใช้สิทธิในการต่อสู้คำสั่งที่ให้ออกจากราชการจริง ส่วนตอนนี้ที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการนั้น คือคำสั่งให้ออกจากราชการชั่วคราว
เมื่อถามว่า หากคณะกรรมการสอบสวนวินัยสอบสวนเสร็จ ทางพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์อาจจะมีโอกาสชิงตำแหน่งผบ.ตร.หรือไม่ พล.ต.อ.เอก ระบุว่า กระบวนการพิจารณาจะต้องใช้ระยะเวลา 2-3 เดือน แน่นอนว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์อาจจะไม่ทันได้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ปีนี้ แต่เรื่องหลักอยู่ที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยที่กำลังดำเนินการ
ทั้งนี้ ความคืบหน้าที่ตนเองทราบล่าสุดทางคณะกรรมการสอบสวนวินัยจะเรียกพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ รับทราบข้อกล่าวหา พอรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว กระบวนการอย่างอื่นก็ไม่น่าจะมีอะไร
หลังจากสอบปากคำทางพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เสร็จสิ้นก็มีการสรุปผลการสอบสวนพิจารณาทางด้านวินัย จากนั้นก็จะทราบผลว่าทางพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะได้อยู่ในราชการอีกหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : กรรมการสอบวินัยร้ายแรงนัดประชุมสัปดาห์ ออกหมายเรียก ‘บิ๊กโจ๊ก’ รับทราบข้อกล่าวหาทันที