

สิ้นสุดการลุ้น! สำหรับค่าไฟ ฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) งวดใหม่ที่จะเรียกเก็บจากประชาชนในช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค.นี้
เนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 ก.ค.67 ได้ประกาศตรึงไว้ที่ราคาเดิมตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ พร้อมกับยังช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกินเดือนละ 300 หน่วย รวมถึงยังได้กำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไว้ที่ไม่เกินลิตรละ 33 บาทอีก
ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพประชาชน ที่อยู่ในระดับสูง และกำลังตามหลอนคนไทยทั้งประเทศ!!
ตรึงค่าเอฟทีงวดใหม่หน่วยละ 4.18 บาท
สำหรับค่าเอฟทีงวดใหม่ หรืองวดเดือนก.ย.-ธ.ค.นี้ ที่ครม.เพิ่งอนุมัติไปนั้น จะยังคงเก็บที่หน่วยละ 4.18 บาทเช่นเดียวกับงวดปัจจุบัน (เดือนพ.ค.-ส.ค.)
ส่วนประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกินเดือนละ 300 หน่วย จะยังคงเก็บที่หน่วยละ 3.99 บาทเช่นกัน หรือได้รับส่วนลดหน่วยละ 19.05 สตางค์
จากก่อนหน้านี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า อาจต้องปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดใหม่ จาก 3 ปัจจัยหลัก ที่ส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น ซึ่งได้แก่
1.ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากงวดปัจจุบัน 1.29 บาท/เหรียญสหรัฐฯ มาอยู่ที่ 36.63 บาท/เหรียญฯ
2.การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศและต่างประเทศ การผลิตไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ ของ กฟผ. ที่มี ราคาถูกนั้น มีความพร้อมในการผลิตลดลง
และ3.ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากงวดปัจจุบัน 3.2 เหรียญฯ/ล้านบีทียู เพราะเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้ความต้องการในโลกเพิ่มขึ้น
และเมื่อรวมกับการที่ต้องทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงค้างชำระในงวดก่อนหน้าให้กับกฟผ.อีก จึงคาดว่า ค่าเอฟทีงวดใหม่อาจปรับขึ้นมาอยู่ที่หน่วยละ 4.65-6.01 บาท
สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศแนวโน้มค่าไฟงวดใหม่ในอัตราข้างต้น ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.67 และเปิดรับฟังความเห็นผ่านเว็บไซต์ กกพ.ถึงวันที่ 26 ก.ค.67 เพื่อประกาศใช้วันที่ 1 ก.ย.67
แต่กระทรวงพลังงาน ก็ได้ชิงเสนอให้ครม.เห็นชอบการตรึงราคาไว้ที่เดิม ซึ่ง “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ระบุว่า การคงค่าไฟฟ้าไว้ที่หน่วยละ 4.18 บาทตามเดิม จะไม่มีปัญหาในการใช้หนี้คืนให้แก่กฟผ.แน่นอน
เนื่องจากการใช้หนี้คืนนั้น เป็นการทยอยใช้หนี้ ไม่ใช่การคืนหนี้ก้อนใหญ่ทั้งก้อน ที่จะส่งผลกระทบกับค่าไฟ และเป็นภาระของประชาชนอย่างมาก
โดยกฟผ. และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยินดีที่จะยังไม่รับชำระต้นทุนการจัดหาก๊าซคงค้าง (AF GAS) ในงวดเดือน ก.ย. – ธ.ค.67 และกฟผ.จะรับรายได้เพียงหน่วยละ 0.05 บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน
เคาะราคาดีเซลไม่เกินลิตรละ 33 บาท
นอกจากนี้ ครม.วันเดียวกัน ยังได้รับทราบการกำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้ที่ไม่เกินลิตรละ 33 บาทจนถึงวันที่ 31 ต.ค.67 ซึ่งเป็นราคาตามที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรับภาระได้
หลังจากนั้นจะพิจารณาสถานการณ์และมาตรการดูแลราคาน้ำมันต่อเนื่อง โดยกระทรวงพลังงาน จะหารือกับกระทรวงการคลัง อาจจะใช้แนวทางการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เข้ามาเป็นมาตรการเสริม หรืออาจมีมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมมาช่วยตรึงราคาน้ำมัน
ส่วนการปรับโครงสร้างราคาพลังงานนั้น ล่าสุด “นายพีระพันธุ์” ยืนยันว่า ตนได้ร่างกฎหมายใหม่ทดแทนพ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 เพื่อใช้ดูแลราคาน้ำมันแล้ว ซึ่งจะเป็นการแก้ไขโครงสร้างราคาพลังงานในระยะยาว จะพยายามให้มีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปีนี้
โดยกฎหมายใหม่นี้ จะดึงอำนาจในการกำหนดเพดาน “ภาษีน้ำมัน” กลับคืนมาอยู่ที่กระทรวงพลังงาน จากปัจจุบัน กระทรวงพลังงานได้เสียอำนาจนี้ให้กับกระทรวงการคลัง แต่คลังยังเป็นผู้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเช่นเดิม ขณะเดียวกัน ก็สามารถบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ด้วย
“นายพีระพันธุ์” ย้ำว่า “การออกกฎหมายใหม่ จำเป็น เพราะเราไม่มีกฎหมายที่จะกำหนดราคาน้ำมันของรัฐบาลมานานนับ 50 ปีแล้ว ทั้งที่เรื่องนี้กระทบประชาชนอย่างมาก พอราคาน้ำมันแพงเราก็บ่นกัน แต่ข้อเท็จจริง คือ ราคาเนื้อน้ำมันจริงๆ ในประเทศลิตรละ 20 กว่าบาทเท่านั้น
แต่ราคาน้ำมัน 1 ลิตร ประกอบไปด้วยส่วนผสมของเอทานอล และไบโอดีเซล รวมทั้งมีภาษีในส่วนต่างๆ เช่น ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เราเสียลิตรละ 5.99 บาท ราคาน้ำมันของเราจึงอยู่ที่ลิตรละ 38 – 40 บาท ซึ่งหากมีกฎหมาย เราก็จะดูแลราคาน้ำมันให้ประชาชนได้”
เล็งหาขุมพลังงานใหม่ผลิตไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ข่าววงใน ระบุว่า ในที่ประชุมครม.วันดังกล่าว ได้หารือถึงแนวทางการลดราคาค่าไฟฟ้าลงมาให้อยู่ในระดับหน่วยละ 3 บาทกว่าๆ เช่นในอดีต ซึ่งจะต้องหาขุมพลังงานใหม่ ที่จะนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติม

โดย “นายพิชัย ชุณหวชิร” รมว.คลัง ได้เสนอความเห็นว่า ไทยต้องเร่งเจรจากับกัมพูชาเพื่อนำก๊าซธรรมชาติ ในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา มาใช้ ซึ่งรัฐมนตรีหลายคนใน ครม.ต่างแสดงความเห็นด้วย
เนื่องจะทำให้ได้ก๊าซธรรมชาติในปริมาณมาก และสามารถใช้ไปได้อีก 20 ปี!!
แต่การเสนอความคิดเห็นดังกล่าว เป็นเพียงหารือของครม.เท่านั้น ยังไม่มีวาระที่เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชาในการนำพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชามานำเสนอ ครม.
สำหรับการลดค่าครองชีพประชาชน ในด้านการดูแลค่าไฟให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางครั้งนี้ ครม.ได้อนุมัติงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 67 จำนวน 1,900 ล้านบาทมาช่วยจ่ายให้ ส่วนการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ไม่เกินลิตรละ 33 บาทนั้น จะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดูแลในส่วนนี้
พาณิชย์ลุยเพิ่มเงินในกระเป๋าคนไทย
สำหรับค่าครองชีพคนไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง และการทำมาหากินฝืดเคือง เพราะกำลังซื้อประชาชนชะลอตัวนั้น กระทรวงพาณิชย์ ได้ช่วยลดค่าครองชีพคนไทยในภาวะที่ต้นทุนต่างๆ ทั้งราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า ฯลฯ ปรับเพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นกัน
โดยขอความร่วมมือ ผู้ผลิตสินค้า “ตรึงราคาขาย” สินค้าอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่รายใดที่ต้นทุนปรับขึ้นมากจนแบกรับภาระไม่ไหว กระทรวงพาณิชย์ก็จะพิจารณาให้ปรับขึ้นได้เป็นรายๆ ในราคาที่เหมาะสม และสอดคล้องกับต้นทุน
เพื่อให้ผู้ผลิตยังอยู่ได้ ไม่ขาดทุน หรือเลิกผลิตสินค้าจนเกิดภาวะขาดแคลน และเมื่อต้นทุนต่างๆ ลดลง ก็ขอให้ผู้ผลิตลดราคาลงให้สอดคล้องกับต้นทุนด้วย
ซึ่งที่ผ่านมา มีหลายสินค้าราคาลงแล้ว แต่ยังไม่ลดลงแบบฮวบฮาบ จนถึงระดับราคาที่ขายในช่วงต้นทุนต่างๆ ต่ำกว่าปัจจุบัน
รวมถึงขอความร่วมมือห้างต่างๆ จัดโปรโมชันลดราคาสินค้า โดยสับเปลี่ยนหมุนเวียนสินค้าอย่างต่อเนื่อง และจัดรถเคลื่อนที่ขายสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในราคาประหยัด กระจายไปยังพื้นที่ และชุมชนต่างๆ พร้อมนำสินค้าเกษตร ผลไม้ต่างๆ ไปกระจายขายสู่ประชาชน ถือเป็นอีกช่องทางที่ช่วยระบายผลผลิตของเกษตรกร และช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร

นอกจากนี้ ยังจะช่วยเพิ่มรายได้ในกระเป๋า โดย “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ บอกว่า จะมีมาตรการเร่งด่วนดูแลคนตัวเล็ก อย่างเกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย ประชาชนทั่วไป
ในการ “เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” เพื่อเพิ่มรายได้อย่างเร่งด่วนภายในช่วง 2-3 เดือนนี้ก่อนที่เงินดิจิทัล จะถึงมือประชาชนในไตรมาส 4 ปีนี้
โดยจะหาสถานที่ให้ประชาชนมาขายสินค้า อย่างตลาดต้องชม หมู่บ้านทำมาค้าขาย ตลาดสดต่างๆ ที่อยู่ในความดูแลของกรมการค้าภายใน หรือหารือส่วนราชการ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ขอให้เปิดพื้นที่ให้ขายสินค้า
พร้อมกับช่วยเหลือผู้ผลิตสินค้าชุมชน ให้มีโอกาสขายสินค้าทางออนไลน์ได้เพิ่มขึ้น เหมือนที่จีนใช้ “เถาเป่า โมเดล” ช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ห่างไกล ให้ขายสินค้าทางออนไลน์ได้ ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำเนินการอยู่แล้วแต่ ขอให้เพิ่มความเข้มข้นให้มากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘พีระพันธุ์’ ยันตรึง ‘ค่าไฟ’ งวด ก.ย.-ธ.ค.67 คงราคา 4.18 บาท/หน่วยไม่กระทบประชาชน