EIC คาดธุรกิจค้าปลีกทยอยฟื้นตัวปี 65 แต่ยังคงต้องจับตาภาวะเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของกำลังซื้อ

A shopping cart moves at the speed of light on a backdrop with balloons and gift boxes. All live in a futuristic atmosphere. 3D render.
  • ขยายตัวอยู่ที่ราวที่ 11% มูลค่า 3.45 ล้านล้านบาท
  • อานิสงส์มาตรการผ่อนคลายการควบคุมโควิด
  • การเพิ่มขึ้นของรายได้ภาคเกษตร และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์  ภาพรวมมูลค่าธุรกิจค้าปลีกในปี 2565 จะกลับมาขยายตัวอยู่ที่ราวที่ 11%YOY เป็น 3.45 ล้านล้านบาทจากการผ่อนคลายการควบคุมโรค การเพิ่มขึ้นของรายได้ภาคเกษตร และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะปัญหาต้นทุนสินค้าและต้นทุนพลังงานสูงที่จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคผ่านการขึ้นราคาสินค้า

ธุรกิจค้าปลีกมีแนวโน้มค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ตามความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ทยอยฟื้นตัว โดยมีปัจจัยด้านบวกจากการกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติมากขึ้นจากการผ่อนคลายการควบคุมโรคและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับ การมี pent-up demand ของกลุ่มที่มีกำลังซื้อ รวมถึงการฟื้นตัวของรายได้ภาคเกษตร อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยที่ต้องระมัดระวังอย่างภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและการว่างงานที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค

การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัวดีขึ้น แต่ยังเป็นไปอย่างช้า ๆ แม้ภาครัฐจะลดมาตรการการเดินทางเข้าประเทศและเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา แต่นโยบายการเปิดประเทศของจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักนั้นคาดว่าจะเริ่มผ่อนคลายในช่วงต้นปี 2566

การขายสินค้าผ่านช่องทาง non-store ยังมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่องตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค โดยในปี 2565 คาดว่าการขายผ่านช่องทาง non-store จะยังเติบโตดีตามการขยายตัวของทั้งการขายออนไลน์และการขายผ่าน TV ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น

การฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกในแต่กลุ่มจะเป็นในลักษณะ uneven โดยกลุ่มที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องแม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าจำเป็นอย่าง Grocery รวมถึงกลุ่มที่ตอบโจทย์เทรนด์ new normal อย่างสินค้าที่ตอบโจทย์สุขภาพ ขณะที่กลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะในหมวดสินค้าไม่จำเป็น อย่างเช่น สินค้าแฟชั่น สินค้าความงาม รวมถึง กลุ่มห้างสรรพสินค้า (Department store) ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากกำลังซื้อที่ยังเปราะบางและปัญหาเงินเฟ้อที่อาจส่งผลให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างจำกัด

ขณะที่  ผู้ประกอบการค้าปลีกอาจปรับกลยุทธ์รับมือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำมาใช้ในการประมวลผลข้อมูลของผู้บริโภคเพื่อการบริหารสต็อกสินค้าและคาดการณ์ความต้องการสินค้าในอนาคต หรือการจัดเก็บสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติเพื่อลดขั้นตอน นำไปสู่การจัดเก็บและการขนถ่ายสินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การออกแบบประสบการณ์การซื้อสินค้าของผู้บริโภค ในปัจจุบันเทคโนโลยี AR/VR ถูกนำมาใช้แพร่หลายมากขึ้นในธุรกิจค้าปลีก เช่น การทดลองสินค้า โดยผู้บริโภคสามารถทดลองสินค้าได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปหน้าร้าน หรือการจำลองหน้าร้านเสมือนจริงบนโลกออนไลน์ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้จริง นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยี AI ในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อนำไปวิเคราะห์และต่อยอดพัฒนาสินค้า/บริการในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวังในทุกขั้นตอนเพื่อที่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภคซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูล

การสร้าง engagement กับผู้บริโภค ผ่านช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมในการสื่อสารกับผู้บริโภค โดยผู้ประกอบการจะต้องมีความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมายของตนเพื่อการเลือกรูปแบบคอนเทนท์ (บทความ รูปภาพ วิดีโอ ไลฟ์) และแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเพื่อสื่อสารและสร้างยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ