

ธ.ก.ส. เดินหน้าโครงการ ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 ตามมติ ครม. ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยโครงการ ประกันภัยข้าวนาปี จะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิตได้ เผยให้ความคุ้มครอง 7 ภัยธรรมชาติ และภัยศัตรูพืช วงเงินคุ้มครอง 1,190 บาทต่อไร่ รัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการทุกราย ไร่ละ 65 – 69 บาท
- เผยเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัย โดย ธ.ก.ส. ร่วมอุดหนุนให้ฟรี
- วางเป้าหมายพื้นที่การเกษตรกว่า 21 ล้านไร่ เกษตรกรผู้ได้รับประโยชน์กว่า 600,000 ราย ทั่วประเทศ
- สามารถเข้าร่วมโครงการ เลือกซื้อประกันภัยด้วยตนเองได้ง่ายๆ ผ่านแอปฯ A Insure หรือ ติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 16 ก.ค. 2567 เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการลดความเสี่ยง และสร้างภูมิคุ้มกัน ด้านการผลิตให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นการสานต่อความช่วยเหลือเกษตรกรไทย ด้วยการใช้การประกันภัย เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ
โดยโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 จะให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ ภัยน้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และช้างป่า วงเงินคุ้มครอง จำนวน 1,190 บาทต่อไร่ และกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด วงเงินคุ้มครอง 595 บาทต่อไร่ เป้าหมายพื้นที่กว่า 21 ล้านไร่ เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 600,000 ราย
ทั้งนี้ สำหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนและแจ้งปรับปรุงข้อมูลเกษตรกับกรมส่งเสริมการเกษตร (ทบก.) ในปีการผลิต 2567/68 โดยการประกันภัยขั้นพื้นฐาน (Tier 1) เกษตรกรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ที่มีสถานะหนี้ปกติไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัย เนื่องจากรัฐบาลสนับสนุนค่าเบี้ยประกันให้ (พร้อมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) และ ธ.ก.ส. ร่วมอุดหนุนให้ฟรี สูงสุดไม่เกิน 30 ไร่ต่อราย
ในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วไป รัฐบาลสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัยตามพื้นที่ความเสี่ยง ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงต่ำ พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง และพื้นที่ความเสี่ยงสูง (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งรัฐบาลจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้กับเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการทุกราย ตามพื้นที่ความเสี่ยง ตั้งแต่ 65 – 69 บาทต่อไร่ (พร้อมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถจัดทำประกันภัยส่วนเพิ่ม (Tier 2) ในอัตรา 27 – 110 บาทต่อไร่ ตามพื้นที่ความเสี่ยง โดยจะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นอีก 240 บาทต่อไร่ กรณีภัยศัตรูพืชและโรคระบาดคุ้มครองเพิ่ม 120 บาทต่อไร่
“กรณีเกิดภัยพิบัติ และพื้นที่ดังกล่าวได้รับการประกาศเขตภัยพิบัติฯ ทำให้พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย เกษตรกรผู้ทำประกันสามารถแจ้งความเสียหายที่สำนักงานเกษตรอำเภอในพื้นที่ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจะรวบรวมข้อมูลความเสียหาย และส่งไปยังสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อประเมินความเสียหาย และเมื่อตรวจสอบครบถ้วนแล้ว สมาคมฯ จะพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตามเงื่อนไขผ่านระบบ ธ.ก.ส. ภายใน 15 วัน โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรโดยตรง” นายฉัตรชัย กล่าว
นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถบันทึกข้อมูล ความเสียหายผ่านแอปพลิเคชัน “มะลิซ้อน” เพื่อให้สมาคมประกันวินาศภัยไทย ใช้พิจารณาให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ภัยพิบัตินอกเขตประกาศตามเกณฑ์เพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ในปีการผลิต 2565 ที่ผ่านมา มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี ไปแล้วกว่า 1.9 ล้านราย พื้นที่รวมกว่า 26.7 ล้านไร่ และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในโครงการประกันภัยข้าวนาปีให้เกษตรกรไปแล้ว 137,823 ราย คิดเป็นพื้นที่การเกษตรกว่า 1.4 ล้านไร่
อย่างไรก็ตาม การประกันภัยด้านการเกษตรนั้น เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันด้านการผลิต และสามารถช่วยเกษตรกร ในการบริหารความเสี่ยงด้านการผลิตได้เป็นอย่างดี โดย ธ.ก.ส. ขอเชิญชวนเกษตรกรทั่วไปและลูกค้า ธ.ก.ส. เข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ก.ค. 2567 (ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้ ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567) และสามารถเลือกซื้อประกันภัยอื่นๆ ที่ให้ความคุ้มครองได้อีกมากมายผ่านแอปพลิเคชัน A Insure พร้อมชำระค่าเบี้ยประกันภัยได้อย่างสะดวกและรวดเร็วบนแอปพลิเคชัน BAAC Mobile หรือ Mobile banking ธนาคารอื่นๆ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ข่าวที่เกี่ยนวข้อง : ธ.ก.ส. ผุด สินเชื่อหนุนเกษตรกร ไปเก็บผลไม้ในต่างประเทศ