กรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกดันขับเคลื่อนพลังงานสะอาด

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยเข้าร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา


กรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกดันขับเคลื่อนพลังงานสะอาด Supply Chainสินค้าต้องไม่ขาดแคลนในยามฉุกเฉิน

  • เห็นตรงกันที่จะต้องสร้างกติกา
  • ให้เกิดความโปร่งใส
  • ปราศจากการคอร์รัปชัน

 ที่ประชุมกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก ที่มีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยเข้าร่วมการประชุม ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกาเพื่อยกระดับการค้า การพัฒนามาตรฐานต่างๆให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ได้ข้อสรุป 3ใน4ประเด็นหลักก็คือ1.ประเด็น Supply Chain จากนี้ไปหากมีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นกรณีโรคระบาดโควิด-19 สินค้าที่มีความจำเป็นที่ทุกคนต้องมีใช้เช่นหน้ากากอนามัย วัคซีนจะต้องไม่เกิดภาวะขาดแคลน หากผลิตไม่ทัน ประเทศสมาชิกจะต้องแจ้งให้ทราบกันก่อนล่วงหน้า

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยเข้าร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

2.ทุกประเทศเห็นพ้องกันในเรื่องการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด การรักษาสิ่งแวดล้อม

3.เห็นตรงกันที่จะต้องสร้างกติกาให้เกิดความโปร่งใส ปราศจากการคอร์รัปชัน

ส่วนอีกหนึ่งหัวข้อที่ยังต้องหารือกันต่อไปคือประเด็นของการค้าระหว่างกันที่ยังมีเรื่องของตัวเลขภาษีศุลกากรที่ยังอยู่ระหว่างจะเก็บเป็นเปอร์เซนต์หรือตัวเลขที่ชัดเจน รวมถึงมาตรฐานสุขอนามัย และกฎระเบียบปลีกย่อยโดยสหรัฐต้องการให้มีมาตรฐานของแรงงานด้วย

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยเข้าร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศเชื่อว่าการเจรจาหลังจากนี้จะต้องจัดทีมให้ดีเพื่อไปหารือ คาดว่าข้อสรุปทั้งหมดจะเสร็จสิ้นก่อนจะมีการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปีหน้า ขณะที่ความสัมพันธ์ของไทยกับสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ นายสีหศักดิ์มองว่ายังสะท้อนถึงศักยภาพที่ยังไม่เต็มที่มากนัก อยากให้สหรัฐฯมองไทยเป็นมิตรที่สำคัญมากขึ้น พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมาไทยพยายามเดินนโยบายการทูตแบบสมดุล ขอเลือกที่จะแสดงจุดยืนในเรื่องที่มีความสำคัญเป็นกรณีๆไป โดยไม่อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง