- 30 ล้านคนเดินทางรอบโลก
- มุ่งหน้าสู่ 300 เมืองสวยงาม
- บาร์เซโลน่า – เวนิสเป้าหลัก
“ธุรกิจเรือสำราญมีความรับผิดชอบกับสิ่งแวดล้อมจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปหรือไม่”
เมื่อคุณตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้าบนระเบียงห้องส่วนตัวของคุณพร้อมกับชื่นชมทัศนียภาพของมหาสมุทรและเรือของคุณจอดที่ท่าเรือหลังจากที่ล่องเรือข้ามมหาสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน– จากคลองเวนิสไปจนถึงหลังคาสีแดงของดูบรอฟนิก(Dubrovnik) แล้วเดินทางกลับ
หรือคุณจะเดินทางไปตามแม่น้ำไรน์ของเยอรมันหรือไปที่ชายหาดในทะเลแคริบเบียนในแต่ละเป้าหมายที่คุณเดินทางไปถึงคุณมีการใช้จ่ายไปในทุกที่ที่คุณเดินทางจากไม่กี่ชั่วโมงถึงหนึ่งวันแต่บางครั้งคุณก็ไม่ได้ลงจากเรือ
การเดินทางของคุณเป็นส่วนหนึ่งของจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่เดินทางไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆแต่ละคนต่างมีจุดมุ่งหมายที่จะไปยังจุดท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพที่งดงามที่สุดและคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของการเข้าไปในฝูงชนเพื่อที่จะได้ชมและเก็บภาพของทัศนียภาพที่งดงามที่สุดของแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแหล่ง
สำนักข่าว CNN รายงานว่าอุตสาหกรรมเรือสำราญเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและเฟื่องฟูทำให้มีการออกแบบและพัฒนาเรือสำราญให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับกับกิจกรรมต่างๆที่สร้างความสนุกสนานและตื่นเต้นสำหลับผู้สารและนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับนักท่องเที่ยว
แต่ในเวลาเดียวกันก็สร้างมลภาวะที่เป็นพิษให้กับสภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งในมหาสมุทรท่าเรือและส่งผลกระทบต่อผู้ที่พักอาศัยโดยรอบท่าเรือที่เรือสำราญไปจอดเทียบท่าทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้ที่อยู่อาศัยโดยรอบของแหล่งท่องเทียวในแต่ละพื้นที่
รายงานระบุว่าในปี2562 ประมาณการณ์ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวทางเรือสำราญสูงถึง30 ล้านคนซึ่งเพิ่มจาก17.8 ล้านคนเมื่อ10 ปีที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสถานที่ท่องเที่ยวและผู้ที่เกี่ยวข้องจะสามารถแก้ไขปัญหาหรือทำอะไรกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้บ้างเมื่ออุตสาหกรรมกำลังเติบโต
การล่องเรือสำราญไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เป็นธุรกิจที่มีมานานแล้วแต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วมีจำนวนเรือสำราญเปิดให้บริการใหม่ในจำนวนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า
มาร์ติน กริฟฟิธส์ (Martin Griffiths) จากสมาคมเรือระหว่างประเทศ (Cruise Lines International (CLIA) ซึ่งเป็นสมาคมของบริษัทเรือสำราญให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นทราเวล(CNN Travel)ว่าตลาดการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญทั้งหมดเติบโตอย่างรวดเร็วมากแต่เราก็ยังคงเป็นส่วนเล็กๆของการท่องเที่ยวโดยรวม
กริฟฟิธส์ ระบุว่า ในขณะที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปเที่ยวที่เวนิส, ดูบอร์วนิค(Dubrovnik) หรือบาร์เซโลนาในจำนวนนั้นมีนักท่องเที่ยวที่มาจากเรือสำราญเพียงร้อยละ5 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางไป
ถึงเราจะไม่ได้ไปในแหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้นหรือเมื่อเราเดินทางออกมาแล้วก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากและแออัดในสถานที่เหล่านั้นได้เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญทั้งหมด
แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงที่เรือสำราญเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาที่หลากหลายของการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆและในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทั่วไปส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในสถานที่เดียวกันจากรายงานของสภาการท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวโลก(World Tourism and Travel Council ) ระบุว่าการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ1.4 พันล้านครั้งในปี2561 นั้นครึ่งหนึ่งเป็นการท่องเที่ยวไปใน300 เมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ในขณะที่โซเชียลมีเดียอาจมีบทบาทเช่นกันแม้แต่CLIA ก็อ้างว่า“การล่องเรือและลงรูปในอินสตาร์แกรม(Instagramm able cruise travel )” เป็นเทรนด์ของการเดินทางในปี2562 ในรายงานล่าสุดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันยังมีเที่ยวบินราคาประหยัดสำหรับใช้ในการเดินทางไปสู่เรือสำราญที่เพิ่มขึ้น
ถึงกระนั้นบางฝ่ายกังวลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยพุ่งความสนใจไปที่การท่องเที่ยวโดยเรือสำราญเพราะพวกเขามองว่าการเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับของนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญทำให้การใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้กับแหล่งท่องเที่ยวที่เดินทางไปถึงมีเวลาน้อยเกินไปที่จะมีการจับจ่ายใช้สอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ที่เดินทางไปถึงเนื่องจากมีเวลาในการใช้จ่ายเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
ขณะเดียวกันเวลาเดินทางมาถึงตามกำหนดการของเรือสำราญหมายถึงจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนหลายพันคนที่หลั่งไหลเข้ามาพร้อมๆกันในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่าที่จะกระจายจำนวนนักท่องเที่ยวไปในแต่ละช่วงเวลาและในแต่ละสถานที่ของแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับมลพิษที่เกิดขึ้นรายงานล่าสุดจากกลุ่มการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนTransport & Environment ชี้ให้เห็นว่าตลอดปี25 60 คาร์นิเวลคอร์ปอเรชั่น(Carnival Corporation)บริษัทเรือสำราญที่เป็นเจ้าของเรือสำราญ10 แบรนด์อาทิCunard, Holland America และP&O ได้ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ออกไซด์ประมาณ10 เท่าทั่วชายฝั่งยุโรปทั้งหมดเทียบเท่ากับจำนวนก๊าซซัลเฟอร์ออกไซด์ที่ปล่อยโดยรถยนต์ในยุโรปถึง 260 ล้านคัน
เจนดามอสโต (Jane da Mosto) ขาวเวนิสผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นผู้อำนวยการบริหารที่We Are Here Venice สมาคมที่ไม่แสวงหาผลกำไรของเมืองเวนิสประเทศอิตาลีซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศอิตาลีโดยเฉพาะปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเมืองจากการเข้ามาของธุรกิจเรือสำราญต่อชุมชนในอิตาลีระบุว่า
“ผู้อยู่อาศัยในเวนิสต้องทนทุกข์ทรมานมากและมันเริ่มรู้สึกเหมือนว่าเราถูกกีดกันจากสิทธิพลเมืองของเรา” ดามอสโตกล่าวว่าการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากเรือสำราญทำให้เมืองเวนิสกลายเป็นเมืองที่ผู้อยู่อาศัยเดิมมีปัญหาในการอยู่อาศัยในบ้านของตัวเอง
เหตุการณ์ที่มีการพูดถึงกันมากเกี่ยวกับเรือสำราญMSC Opera ชนกับเรือลำเล็กๆในทะเลสาบของเวนิสทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากเรือสำราญส่งผลให้ทางการของเวนิสตัดสินใจให้เรือเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือออกจากขอบเขตของทะเลสาบหลัก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของประเทศอิตาลีประกาศว่าเรือใหญ่จะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังท่าเทียบเรือFusina และLombardia
“ฉันคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเวนิสแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าเรือสำราญขนาดมหึมาไม่เข้ากันสำหรับเมืองทั้งในเรื่องของความปลอดภัยทางกายภาพและสิ่งแวดล้อม” ดามอสโตบอกกับซีเอ็นเอ็นทราเวล(CNN Travel)
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับเวนิสจากอุตสาหกรรมเรือสำราญที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมนี้ไม่เหมาะสมกับกับเวนิสและมีความเปราะบางต่อความเป็นเมืองของเวนิสเป็นสัญญาณที่บอกว่ารูปแบบธุรกิจเรือสำราญเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนไม่ถูกหลักจริยธรรมและสร้างความเสียหายมากต่อพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวอย่างเวนิส”
การตอบโต้ของธุรกิจเรือสำราญ
เรือสำราญอาจเป็นช่องทางให้คนหลายพันคนไปยังจุดหมายปลายทางแต่การบริหารจัดการของบริษัทเดินเรือยังคงมีปัญหา
ขณะที่นายกิฟฟิธส์จากCLIA ระบุว่าแผนการเดินทางของเรือสำราญมีการวางแผนล่วงหน้าสองปีและได้รับการจัดการโดยความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ปลายทางจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
ในขณะที่ซีเอ็นเอ็นทราเวล(CNN Travel) ได้ติดต่อกับผู้บริหารบริษัทเรือสำราญรวมถึงRoyal Caribbean และMSCเพื่อนำมาลงตีพิมพ์ในบทความชิ้นนี้แต่ทางผู้บริหารของเรือสำราญทั้งสองแห่งระบุให้ทางCLIA ในฐานะที่เป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของผู้ประกอบการเรือสำราญเป็นผู้ตอบคำถามแทนซึ่งนายกริฟฟิธส์ยอมรับและระบุว่าทางสมาคมกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
“เรารับทราบปัญหาและพยายามช่วยเหลือพื้นที่ที่เป็นจุดหมายปลายทางให้ดีที่สุด” เขากล่าวและได้ระบุถึงข้อตกลงล่าสุดที่ลงนามกับเมืองดูบรอฟนิกเพื่อทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวที่นั่น
สำหรับประเด็นปัญหาทางเศรษฐกิจกริฟฟิธส์ระบุว่าแนวคิดที่บอกว่าเรือสำราญไม่ได้กระจายรายได้ไปสู่แหล่งท่องเที่ยวแต่ละแหล่งที่ไปถึงนั้นเป็นเรื่อง“เข้าใจผิด”
กริฟฟิธส์ระบุว่าสายการเดินเรือแต่ละแห่งจ่ายเงินจำนวนมากให้กับท่าเรือและหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อจอดและเพื่อให้บริการในท่าเรือนอกจากนั้นเรายังใช้คนในท้องถิ่นในการพานักท่องเที่ยวไปทัศนศึกษาตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในพื้นที่
“เรามีการลงทุนไปในแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทางของเราซึ่งอาจไม่ปรากฏในร้านพิชซ่าท้องถิ่นหรือบาร์ท้องถิ่นแต่จริงๆแล้วเรายังคงลงทุนเป็นจำนวนมากในจุดหมายปลายทางที่เราเดินทางไปถึง” กริฟฟิธส์กล่าวในขณะที่การค้าการท่องเที่ยวที่สำคัญในหลายๆเมืองต่างรู้สึกถึงความรุนแรงของการท่องเที่ยวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเกินไป
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับพื้นที่โดยก่อนหน้านี้ใน
ปี2562พีโนมัสโซลิโน(Pino Musolino) ประธานการท่าเรือแห่งเวนิสบอกกับซีเอ็นเอ็นทราเวล(CNN Travel) ว่าเรือสำราญสร้างงานได้ถึง6,000 ตำแหน่งสำหรับเมือง
ในปี2560 อุตสาหกรรมเรือสำราญสร้างรายได้ให้กับบรรดาเจ้าของธุรกิจอย่างมหาศาลโดยรายได้ของพวกเขายังอยู่ที่1,340 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ40,800 ล้านล้านบาทในขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวขณะที่ฝ่ายที่มีความเห็นตรงข้ามโต้แย้งว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเงินแต่อย่างใดแต่เป็นเรื่องของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ต่างหาก!
thejournalistclub ตามเก็บตัวเลขรายได้บริษัทเรือสำราญขนาดใหญ่สัญชาติอเมริกันบางรายมีรายได้ปีละมากถึง500,000 – 600,000 ล้านบาทมีกำไรสูงถึงปีละ56,200 – 88,630 ล้านบาทหรือมีรายได้รวมกว่า1.5 ล้านล้านบาทก่อนหน้าที่เศรษฐกิจจะซบเซาลง
มันไม่ใช่แค่ชาวบ้านที่สังเกตเห็นฝูงชนแห่กันไปที่ซากราด้าแฟมิเลีย(Sag rada Familia) ของบาร์เซโลนาหรือเดินข้ามกำแพงเมืองเก่าของดอฟบอร์นิค(Dubrovnik) เท่านั้นแต่นักท่องเที่ยวด้วยกันเองก็รับรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางไปในสถานที่เหล่านี้
ซูไบรอันต์บรรณาธิการเรือสำราญหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทม์( Sonday Times)ของสหราชอาณาจักรและเป็นผู้ที่ชื่นชอบการล่องเรือมานานบอกกับซีเอ็นเอ็นทราเวล(CNN Travel) ว่าการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจำนวนมากในท่าเรือส่งผลกระทบต่อความบันเทิงของเธอในระหว่างการเดินทางครั้งล่าสุด
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่และบริษัทเดินเรือสำราญเธอกล่าวว่าการเดินทางสามารถสร้างแรงบันดาลใจและจินตนาการได้มากถ้านักท่องเที่ยวเลือกที่จะเดินทางในแบบของตัวเอง
“ตัวอย่างเช่นหากเรือของคุณค้างคืนในดูบรอฟนิกแล้วคุณสามารถเดินไปชมพระอาทิตย์ตกในเมืองได้แทนที่จะนอนอยู่แต่ในเรือถือเป็นห้วงเวลามหัศจรรย์ของการเดินทาง,” ไบรอันต์กล่าว
ไบรอันต์กล่าวว่าการใช้เวลาทั้งวันที่ชายหาดแทนที่จะเข้าคิวเพื่อเดินเล่นบนกำแพงDitto Venice และพยายามหลีกเลี่ยงSan Marco ในตอนกลางวันเพราะมันเป็นฝันร้ายแต่เปลี่ยนเป็นมาเดินรอบSan Marco ยามเย็นแทนหรือในระหว่างวันที่เดินทางไปในทะเลสาบก็สร้างความสุขในการเดินทางโดยสามารถหลีกเลี่ยงจากจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางมาในแหล่งท่องเที่ยวเดียวกันได้
ไบรแอนต์ยังแนะนำให้พิจารณาเรือลำเล็กๆและพยายามใช้เงินในพื้นที่โดยอยู่ต่อไปอีกสองสามวันก่อนหรือหลังการล่องเรือสำราญของคุณเราสามารถศึกษาและเลือกเส้นทางการท่องเที่ยวของตนเองเพื่อพยายามหลีกเลี่ยงการเป็นส่วนหนึ่งของจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่พยายามทำในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน
เว็บไซต์Avoid-Crowds.com ให้ข้อมูลแก่ผู้เข้าชมเว็ปไซต์ว่าเมื่อใดที่จุดหมายปลายทางมีแนวโน้มที่จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากทั้งวันเวลาและสถานที่เพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวได้ทราบข้อมูลรวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงวันหยุดหรือวันนักขัตฤกษ์ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในสัดส่วนจาก1 ถึง100 โดยเว็บไซต์ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและรัฐบาลท้องถิ่นโดยบรรเทาผลกระทบจากการที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเกินไป
รายงานของCNN ระบุว่าเมืองท่องเที่ยวในยุโรปไม่ใช่จุดหมายปลายทางเพียงแห่งเดียวที่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยการล่องเรือสำราญการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญในทะเลแคริบเบียนก็สร้างรายได้ที่สำคัญให้กับท่าเรือขนาดเล็กและประเทศเกาะต่างๆแต่ภูมิภาคเหล่านี้ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากจากอุตสาหกรรมที่เฟื่องฟู
“การจัดการกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เริ่มดำเนินการจากเรือสำราญถือเป็นความท้าทายในพอร์ตแคริบเบียนบางแห่งเช่นเดียวกับที่อยู่ในสถานที่เช่นเวนิส, ดูบรอฟนิก, และบาร์เซโลนา” ไบรอันเมเจอร์บรรณาธิการบริหารของtrav Allian cemediaบริษัทที่ให้ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวแคริบเบียนและละตินอเมริกากล่าว…
ก่อนหน้านี้เมเจอร์เป็นนักข่าวการค้าและอุตสาหกรรมเรือสำราญและเขาก็ได้ร่วมงานกับทางCLIA ทำให้เขาได้เห็นถึงอุตสาหกรรมนี้จากทั้งสองด้าน
“ส่วนตัวผมคิดว่าคนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นมีความรู้สึกเกี่ยวกับการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากเรือสำราญไปยังท่าเรือที่มีขนาดค่อนข้างเล็กเป็นปัญหา” เขากล่าว
เมเจอร์กล่าวว่าการสื่อสารกับชุมชนของบริษัทเรือสำราญเป็นสิ่งสำคัญนอกจากนี้เขายังชี้ไปยังผู้ให้บริการเดินเรือรวมถึงMSC และRoyal Caribbean ซึ่งกำลังสร้างท่าเรือของตนเองในแคริบเบียนเพื่อกระจายการจราจรที่คับคั่งจากท่าเรือเดิมว่าบริษัทเรือสำราญตระหนักดีว่าเรือของพวกเขามีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและมีท่าเรือน้อยลงเรื่อยๆซึ่งบริษัทเดินเรือคิดว่ามันไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจของพวกเขา
เช่นเดียวกับการรับมือกับความแออัดยัดเยียดที่เกิดขึ้นในขณะที่ข้อเท็จจริงคือไม่ใช่นักท่องเที่ยวที่มากับเรือสำราญจะลงไปที่ท่าเรือทั้งหมดบางคนไม่ได้ลงไปคงนั่งอยู่ในเรือและก็ไม่ได้ลงไปจับจ่ายใช้สอยในแหล่งท่องเที่ยวที่ตัวเองเดินทางไปถึง
“ผมสามารถบอกคุณได้ว่าการให้บริการเดินเรือสำราญเป็นธุรกิจที่ขายบริการล่องเรือสำราญจากแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งไปสู่อีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งพวกเขาขายเส้นทางการเดินทางจากมอนเตโก้เบย์(Montego Bay) หรือไปที่ซานฮวน(San Juan) หรือว่าจะไปที่บรีซ(Blize) มันคือธุรกิจของพวกเขา”
ในขณะที่การล่องเรือในสหรัฐอเมริกาที่แล่นไปรอบๆฟลอริดายังไม่เป็นที่นิยม, เมเจอร์กล่าว
“คนส่วนใหญ่บนเรือต้องการไปยังปลายทางแต่อาจจะมีคนที่ไม่ได้ลงจากเรือเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางอันนี้ก็ไม่แน่ใจแต่คนส่วนใหญ่เมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางก็จะลงจากเรือเพื่อไปท่องเที่ยวในสถานที่นั้น”
ท่าเรือบางแห่งอาจอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าท่าเรืออื่นเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางเข้ามาในขณะที่ปัญหาด้านมลภาวะก็เป็นประเด็นที่จุดหมายปลายทางต้องเผชิญ
“มันไม่ต่างจากมาชูปิกชูหรือเทือกเขาหิมาลัยหรือสภาพแวดล้อมประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมหรือธรรมชาติที่เปราะบางอื่นๆที่ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องมลภาวะเมื่อมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากซึ่งผู้ประกอบการเรือสำราญจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นแต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะทำหรือไม่” เมเจอร์กล่าว
ในเมืองเวนิสดามอสต้าบอกว่าเธอไม่ได้สนใจเรือที่จอดเทียบท่าเป็นเวลานานแล้วจะสร้างรายได้ที่มากขึ้นแต่เธอสนใจถึงปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นกับเวนิสจากการเข้ามาของเรือสำราญมากกว่า
เวนิสถูกระบุโดยการขนส่งและสิ่งแวดล้อมในฐานะท่าเรือที่มีมลพิษมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลกขณะที่บาร์เซโลนารั้งอันดับหนึ่งตามมาด้วยPalma de Mallorca ในประเทศสเปนที่ซึ่งผู้อยู่อาศัยได้ลงนามในคำร้องเพื่อขอจำกัดจำนวนของเรือสำราญที่เข้าเทียบท่าในแต่ละวันเพื่อลดมลภาวะที่เกิดขึ้น
ในขณะที่บริษัทเรือสำราญอาจสนุกกับการโฆษณาในสิ่งที่ดีที่สุดแต่มันก็ไม่มีความหมายและไม่ยั่งยืนอีกต่อไปเมื่อผู้คนหลายคนตระหนักถึงปริมาณคาร์บอนและมลภาวะทางอากาศที่สูงขึ้น ขณะที่บริษัทเดินเรือบางแห่งพยายาม
ที่จะประชาสัมพันธ์การเดินเรือด้วยเรือขนาดเล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแต่แนวคิดการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือการท่องเทียวสีเขียว(Green Tourism) จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
“ฉันมีความสุขที่ได้เห็นการริเริ่มเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมเรือสำราญฉันคิดว่าบางอย่างเป็นแนวคิดที่ฉลาดมาก”ซาแมนทาเบรย์(Samantha Bray) กรรมการผู้จัดการของเซ็นทรัลฟอร์เรสปอนซิเบลร์ทราเวล(Centre for Responsible Travel ) กล่าว
“ฉันคิดว่าบริษัทเรือสำราญต้องทำในเรื่องของการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือการท่องเที่ยวสีเขียวเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย”เบรย์ระบุว่าทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทำงานร่วมกันและรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันในการแก้ไขปัญหา
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเรือสำราญทำงานได้ดีขึ้นในการพยายามสื่อสารกับชุมชนและบริหารจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาแต่ก็มีงานที่ต้องทำเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” เมเจอร์กล่าว“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธุรกิจเรือสำราญไม่ได้เติบโตลดลงแต่ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอุตสาหกรรมเรือสำราญก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะรักษาธุรกิจของตัวเองให้คงอยู่ต่อไป”
“ตอนนี้เราอยู่ในจุดวิกฤติที่สำคัญและเราไม่สามารถพูดคุยกันได้อีกต่อไป” เบรย์กล่าวเสริม“พวกเขาจะต้องเดินไปตามทางที่ต้องดูแลจุดหมายปลายทาง
แต่ละแห่งที่เราไปถ้าเราต้องการให้จุดหมายปลายทางเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการล่องเรือในอนาคต” เบรย์กล่าว
ภาพจาก : CNN