ไมค์ พิรัชต์ โต้ไม่คิดพรากลูกจาก “ซาร่า” ขอแค่มีส่วนตัดสินใจ ในชีวิตลูก

.ชี้แจงกรณียื่นคำร้องต่อศาล เพื่อได้สิทธิ์บิดาโดยกฎหมาย

.เรื่องนี้ มีใครจะอยากจะขึ้นศาล อยากจะออกสื่อ

.ขอโทษครอบครัว ที่ถูกลากเขามาในปัญหาอะไรแบบนี้

ล่าสุด “ไมค์ พิรัชต์” พร้อมด้วย “ทนายเจมส์ นิติธร” ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเผื่อขอเปิดใจถึงเรื่องราวของการยื่นเรื่องต่อศาลให้ได้มีสิทธิ์ในการปกครองลูกร่วมกับฝ่ายหญิง โดยหนุ่มไมค์ได้เผยว่า โดย ไมค์ เปิดใจว่า “ขอชี้แจงเรื่องประเด็นเรื่องแรก ทำไมถึงยื่นคำร้องต่อศาล เพราะเพื่อได้สิทธิ์พบิดาโดยกฎหมาย พรากลูกมันไม่น่าจะมาใช้ในกรณีนี้ได้

“ผมรู้สึกว่า ไม่อยากให้ลูกเห็นง่าผมจะพรากลูกจากแม่ การที่ผมได้มีสิทธิ์ในตัวลูก ไม่ได้ทำให้สิทธิ์ของซาร่าลดลง สิทธิ์ที่ผมขอแค่อยากเจอลูกตามปกติ ไม่ใช้บิดาที่จ่ายเงินอย่างเดียว ไม่ใช่จ่ายเงินแล้วจบ อยากเห็นเขาเจริญเติบโต”

ผมไม่ได้เจอลูกมาสักพักแล้ว ที่เจอได้แบบปกติเลย คือประมาณวันที่ 15 มีนา หลังกักตัวเสร็จก็ขอเจอโดยทันที หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอยาวจนถึงเดือนเกิดแม็กซ์ ซึ่งมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ค่อนข้าวซับซ้อน การไปเจอของผมคือ ต้องไปดักเจอที่โรงเรียน หรือไปที่ใต้คอนโด เขาไม่ได้กีดกัน แต่การเจอกันหลังจากที่คุยเรื่องปรับค่าใช้จ่าย มันค่อนข้างที่จะยากอยู่”

กับเรื่องเวลาไม่ตรงกัน มันมีเหตุการณ์ใหญ่คือ ตอนผมไปรอเก้อที่สนามบิน ไปรอวันที่ 8 กรกฎาคม อยากเจอลูกพามาเป่าเค้กที่บ้านผม วันที่ 10 กรฎาคม ผมจะไปรับลูกแล้วพามานอนบ้านแล้วพาไปส่งที่สนามบิน วันที่ใส่ชุดสไปเดอร์แมน แล้วไปรอที่ใต้คอนโด พยายามติดต่อ แต่ติดต่อไม่ได้ รอเป็นชั่วโมง พอโทรแล้วเขาบอกว่า ยังไม่ได้ตอบตกลงเลย เดี๋ยวแม็กซ์เวลล์กับเพื่อนจะไปว่ายน้ำ เพราะเขาบอกเองให้มาวันนี้ เพราะอีกวันจะบิน ผมรู้สึกไม่พอใจ ทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง คุยจนแม็กซ์เวลล์ได้มาเจอผม ได้อยู่กับลูกแค่ไม่กี่นาที มันผิดปกติตรงที่ว่า ปฏิกิริยาที่ลูกมีต่อผมมันเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม เหมือนเขาสับสน วันนึงบอกว่ารัก วันนึงบอกว่าไม่รัก แล้วตอนที่เจอเหมือนเขาผวาและกังวล มองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผม แต่ผมไม่เห็น แล้วเพื่อนของเขาก็ชวนไปว่ายน้ำ ซึ่งเหมือนผมโดนกดดัน

ผมก็บอกลาลูกก่อนกลับภูเก็ต พอหลังจากนั้น วันถัดมาตอนเช้า เขาพิมพ์มาบอกว่า จะมารับลูกไหม เพราะผมมีงาน เลยถามว่าต้องไปรับกี่โมง ส่งกี่โมง แต่เขาไม่บอกว่าจะไปสนามบินกี่โมง และสิ่งที่เกิดขึ้นคือผมติดงาน ด้วยความคิดเอาเอง เลยไปดักรอที่สนามบิน ไปเป่าเค้กที่นั้น พร้อมกับของขวัญ ผมไปดักรอที่สนามบินจนถึง 4 ทุ่ม ถามเขาก็ไม่ตอบ วันต่อมาผมก็ไปประชุมที่แถวๆ ลูกเรียนเต้น จึงทำให้รู้ว่าลูกไม่ได้กลับเมื่อวาน แต่เรียนเต้นเสร็จแล้วค่อยกลับภูเก็ต”

“ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยคือ 12 กรกฎาคม 2563 ว่าเห็นแม็กซ์เวลล์ที่เรียน ผมถ่ายรูปและส่งไปถามเขาว่าทำไมต้องทำแบบนี้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ตอบผมอีกเลย ถ้าคุยกันเองได้ มีใครจะอยากจะขึ้นศาล อยากจะออกสื่อ ผมพิมพ์อะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบ เรื่องที่ผมถามบ่อยสุดคือจะเอายังไงเรื่องโรงเรียน ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเอายังไง ก็เลยวางแผนชีวิต ไปคุยกับเขาเรื่องโรงเรียนให้หาที่อื่นดู ผมก็ทำการบ้านให้ ไปดูโรงเรียนหลายที่

เรื่องที่เอาลูกออกจาโรงเรียน ผมทำ เพราะถ้าโรงเรียนบอกว่าจะไม่ได้ค่าประกัน 3 แสนบาทคืน แม็กซ์เวลล์พ้นสภาพการเป็นนักเรียนของที่นี่ พอคุยกับซาร่าเรื่องโรงเรียนก็ไม่ได้รับคำตอบ และผมเป็นกังวล และถามอยู่เรื่อยๆ จนกระทั้งโรงเรียนใกล้เปิด ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เลยโทรไปบอกโรงเรียนเดิมเอาชือลูกกลับเข้าไปและเสียเงิน 3 แสนนี้ไป

ส่วนเรื่องห้องเช่าเดือนละ 4 พันบาท ผมว่าคุณภาพชีวิตอยู่ที่แต่ละคนจะตีความหมาย ที่ผมเสนอเขาไป เป็นคอนโดดูโอเค ราคาไม่แพง ทำไมต้องหาแพงถึงจะแปลว่าคอนโดนั้นดี อยู่ที่เรท 4 พัน ถึง 1.3 หมื่นบาท แต่ไม่ได้คำตอบ มีสนามเด็กเล่น มีสระว่ายน้ำ ไม่ได้บังคับให้อยู่ห้องละ 4 พัน ผมแค่เสนอไปให้เลือก”

ผมไม่เห็นประโยชน์ที่ดีต่อลูกผมเลย มีแต่ความเจ็บปวดและพัง ผมรู้ว่าใครเป็นอะไร ยังไง วิธีการเงียบคือการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด ปัญหาก็ไม่จบ ผลเสียตกที่ลูก ผมแค่โดนด่าจากคนที่ไม่ได้ทำให้ผมมีกินมีใช้ ก็ไม่ต้องสนใจ แค่ใช้ชีวิต หาเงินเลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงชีพ เกิดมาครั้งเดียว ใช้ชีวิตดีกว่า จะมาต่อสู้กันทำไม (น้ำตาคลอ) รู้สึกชนะจริงๆ ใช่ไหม? มีแต่ผู้แพ้ ด่าผมผมไม่ว่า แต่ถ้าถึงครอบครัวผมเนี่ย (น้ำตาคลอ) ในสิ่งที่พ่อแม่ไม่ได้ทำและพูด

น้องสาวผมก็โดนไปด้วย แต่ทุกคนก็อดทน และผมก็ขอโทษครอบครัว ที่ผมลากเขามาในปัญหาอะไรแบบนี้ ทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องลำบากไปด้วย ความโง่ของตัวเอง ความผิดพลาดของตัวเอง ผมผิดพลาดในชีวิตมาเยอะ แต่ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องผิดพลาดไปตลอดชีวิต ผิดพลาดก็แก้ไข เรียนรู้และอยู่กับมัน ถ้าใครจะด่า ด่าที่ผมคนเดียว อย่าด่าไปที่ครอบครัว ผมขอแค่นี้