“ไบเดน”-ผู้นำชาติพันธมิตร จ่อออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่

  • หวังป้องกันไม่ให้เลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจ
  • พร้อมจับใอยกระดับความมั่นคงด้านพลังงาน
  • ขณะที่ความนิยม “ไบเดน” ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และผู้นำชาติพันธมิตรอื่นๆ ที่จะร่วมการประชุมที่กรุงบรัสเซลล์ในวันที่ 24 มี.ค.นี้ เตรียมประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม เพื่อตอบโต้ที่รุกรานยูเครน รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่จะป้องกันไม่ให้รัสเซียหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนมีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมฉุกเฉินขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต), การประชุมของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 (G7) และการประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) คาดว่า จะประกาศมาตรการคว่ำบตราเพิ่มเติมภายหลังจากการประชุมดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังคาดว่า ปธน.ไบเดนจะประกาศมอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเพิ่มเติมให้กับยูเครน เพื่อให้การสนับสนุน ทั้งชาวยูเครนที่ยังอยู่ในประเทศและที่ได้ลี้ภัยไปยังประเทศยุโรปตะวันออกข้างเคียง

ด้านนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า นอกจากมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ และความร่วมมือเพื่อป้องกันไม่ให้รัสเซียหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรแล้ว ยังคาดว่า บรรดาผู้นำจะประกาศแผนยกระดับความมั่นคงด้านพลังงานในยุโรป และลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียด้วย ขณะเดียวกัน ปธน.ไบเดนจะใช้โอกาสนี้วางแผนรับมือเหตุการณ์ต่างๆ เช่น กรณีที่รัสเซียใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง หรือเปิดปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ รวมถึงแนวทางตอบโต้หากจีนสนับสนุนรัสเซีย

“เราเชื่อว่า เราเห็นตรงกันกับพันธมิตรในยุโรปของเรา และพวกเราจะสื่อสารอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในประเด็นนี้” นายซัลลิแวนระบุ

ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอส ระบุว่า สัปดาห์นี้ คะแนนนิยมของปธน. ไบเดน ลดลง 3 จุดจากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 40% เป็นสัญญาณเตือนสำหรับพรรคเดโมแครต ที่พยายามรักษาเสียงส่วนใหญ่ในสภาคองเกรสไว้ให้ได้ในการเลือกตั้งวันที่ 8 พ.ย.นี้

ผลสำรวจชาวอเมริกัน 1,005 คนทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 21-22 มี.ค.65 พบว่า ชาวอเมริกันถึง 54% ไม่พอใจการทำงานของปธน.ไบเดน เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง ประกอบกับ กรณีรัสเซียบุกยูเครนที่ทำให้เกิดความวิตกด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยคะแนนนิยมของปธน.ไปเดนเริ่มร่วงลงในช่วงกลางเดือนส.ค.64 หลังจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐพุ่งสูงขึ้น และเกิดความวุ่นวายจากการสั่งถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน