โพลล์เผย “น้ำมัน-สินค้าแพงขึ้น” กระทบการดำเนินชีวิตคนไทยมากสุด

  • ส่วนใหญ่ปรับตัวทำอาหารกินเอง
  • รองลงมาร้อยละ 59.7 ลดปริมาณการซื้อ
  • คนละครึ่งเฟส 4 ช่วยเหลือได้ระดับปานกลาง

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2565 กรุงเทพโพลล์โดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “ชีวิตความเป็นอยู่คนไทยวันนี้ กับสถานการณ์ข้าวของราคาแพง” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,033 คน พบว่า ประชาชนร้อยละ 43.1 เห็นว่าจากสถานการณ์ข้าวของราคาแพง ทำให้สถานะทางการเงินพอดีกับค่าใช้จ่ายไม่มีเงินเหลือเพื่อเก็บออมขณะที่ร้อยละ 39.0 ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ต้องกู้ ต้องหยิบยืม ส่วนร้อยละ 17.9 ยังเพียงพอกับค่าใช้จ่ายและมีเงินเก็บออม

เมื่อถามว่าจากผลกระทบข้าวของราคาแพง มีผลต่อการใช้จ่าย การดำเนินชีวิต ของท่านมากน้อยเพียงใดส่วนใหญ่ร้อยละ 54.7 เห็นว่ามีผลค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ส่วนร้อยละ 36.6 เห็นว่ามีผลปานกลาง ขณะที่ร้อยละ 8.7เห็นว่ามีผลค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด

ทั้งนี้เมื่อถามว่ามีการปรับตัวหรือไม่อย่างไร ในยุคที่ข้าวของราคาแพงขึ้น ส่วนใหญ่ร้อยละ 88.9 มีการปรับตัวโดยในจำนวนนี้ร้อยละ 60.9 ทำอาหารกินเอง เอาอาหารมากินเองที่ทำงาน รองลงมาร้อยละ 59.7 ลดปริมาณการซื้อลงและร้อยละ 50.2 ซื้อสินค้าอย่างอื่นทดแทนสินค้าที่ราคาแพงขึ้น ขณะที่ร้อยละ 11.1 ไม่มีการปรับตัว ใช้ชีวิตปกติกินปกติ

โดยเมื่อถามว่าการขึ้นราคาสินค้าอุปโภค บริโภคอะไร ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากที่สุดประชาชนร้อยละ 46.9 เห็นว่าคือการขึ้นราคาค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รองลงมาคือ การซื้ออาหารสดตามตลาด คิดเป็นร้อยละ 35.7 และการไปกินอาหารที่ร้านตามสั่ง ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว คิดเป็นร้อยละ 8.9

สุดท้ายเมื่อถามว่าจากข้าวของราคาแพงขึ้น คิดว่าการมีโครงการคนละครึ่งเฟส 4 จะช่วยเหลือประชาชนให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้นมากน้อยเพียงใด ประชาชนร้อยละ 47.1 เห็นว่าช่วยได้ระดับปานกลางส่วนร้อยละ 32.1 เห็นว่าช่วยได้ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ร้อยละ 20.8 เห็นว่าช่วยได้ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด