โตโยต้าระบุกำลังการผลิตทั่วโลกเดือนเม.ย.ลดลง 50.8% โดยอเมริกาเหนือและลาตินอเมริกายอดผลิตศูนย์คัน

โตโยต้าประเทศไทยกลับมาผลิตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม

โตโยต้ามอเตอร์คอร์ป ระบุว่า ในเดือนเมษายนกำลังการผลิตรถยนต์ของโตโยต้าทั่วโลกลดลงถึง 50.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 379,093 คัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์ลดลง

ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น กล่าวด้วยว่า กำลังการผลิตรถยนต์ในอเมริกาเหนือและลาตินอเมริกาอยู่ที่ศูนย์คัย เนื่องจากการระบาดไวรัสโควิดนำไปสู่การปิดโรงงานทั้งหมดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

โดยทางโตโยต้าได้กลับมาผลิตที่โรงงานในสหรัฐและแคนาดาอีกครั้งเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมหลังจากปิดทำการประมาณ 50 วันตามมาตรการผ่อนคลา

ขณะที่ในยุโรปนั้นโตโยต้าผลิตรถยนต์ได้เพียง 577 คันที่โรงงานในฝรั่งเศส โดยกำลังการผลิตลดลงถึง 99.2%

ส่วนในญี่ปุ่นลดลง 25.9% สู่ระดับ 218,054 คันเนื่องจากบริษัทปิดโรงงานชั่วคราวเนื่องจากซัพพลายเชนหยุดชะงักลงและความต้องการที่ลดลง

ในประเทศจีนกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 27.8% เป็น 143,135 คันหลังจากที่เริ่มการผลิตใหม่ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม

โตโยต้ากล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่ายอดขายทั่วโลกลดลง 46.3% ในเดือนเมษายนจากระดับปีที่แล้วแตะระดับ 423,302 คัน โดยยอดขายในอเมริกาเหนือและยุโรปลดลง 56.4% และ 83.4% ตามลำดับ ในญี่ปุ่นผู้ผลิตรถยนต์ขาย 97,563 คันลดลง 20.1%

ด้านมิจิโนบุ ซึงาตะ ประธาน​ บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ว่า สำหรับในประเทศไทยทางโตโยต้าได้กลับมาทำการผลิตอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่สำโรง จังหวัดสมุทรปราการ และบ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทราเมื่อวันที่ และโรงงานเกตเวย์ที่ฉะเชิงเทรา โรงงานทั้งสามแห่งปิดตัวลงตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน

การกลับมาผลิตอีกครั้งเป็นไปตามด้วยความราบรื่นและปลอดภัยเนื่องจากการสนับสนุนของซัพพลายเออร์และพนักงาน

อย่างไรก็ตามทางโตโยต้าจะต้องปรับสายการผลิต แต่ละรุ่นและยังเปลี่ยนกะการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศและต่างประเทศ

โรงงานสำโรงสร้างและประกอบรถยนต์ โตโยต้า ไฮลักซ์ และ ฟอร์จูนเนอร์ สำหรับตลาดประเทศไทย ในขณะเดียวกันโรงงานบ้านโพธิ์ทุ่มเทให้กับการผลิตไฮลักซ์สำหรับตลาดส่งออก และโรงงานที่เกตุเวน์ เป็นโรงงานหลักของ บริษัท ในการผลิตรถ่น Vios, Yaris, Corolla, Camry และ CH-R สำหรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ

ที่มา – www.japantimes.co.jp