โดดเดี่ยว“ฮ่องกง” ศึกวัดใจรัฐบาลจีน

คนฮ่องกง
โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

  • ศึกษารากเหง้าคนฮ่องกง
  • ตัวเป็นจีน แต่ใจเป็นฝรั่ง
  • หมดเวลาของ “รัฐอิสระ”

     คนฮ่องกงไม่เคยมีความรู้สึกว่า ตนเป็นคนจีนขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่าตนไม่ใช่คนอังกฤษ แต่ก็ยอมรับว่า ตนเป็นชนชั้นล่างในฮ่องกง เพราะชน ชั้นสูงในเกาะฮ่องกง คือ คนอังกฤษที่มาเป็นข้าราชการ เป็นนายพลตำรวจส่วนพลตำรวจ และ นายสิบตำรวจเป็นคนฮ่องกง หรือคนปากีสถาน หรือคนกูรข่า ที่มารับจ้างเป็นตำรวจชั้นประทวน เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย แม้คนฮ่องกงจะได้รับการศึกษาสูงสุดเพียงใด ก็ไม่อาจจะเข้ารับราชการ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยราชการได้ จะเป็นได้ก็แต่เพียงระดับเสมียน เพราะ ข้าราชการระดับสัญญาบัตรต้องเป็นชาวอังกฤษเท่านั้น ผู้สำเร็จราชการ เกาะฮ่องกง มีทำเนียบอยู่บนยอดเขาสูงที่ห้ามคนจีนตั้งบ้านเรือน งบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลฮ่องกง มีอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าสำนักงาน ล้วนแต่เป็นเงินที่มาจากภาษีอากร และค่าเช่าอสังหา ริมทรัพย์ ที่ดินจากประชาชนชาวฮ่องกงทั้งส้ิน

    ประมุขของฮ่องกงคือ ผู้สำเร็จราชการซึ่งแต่งตั้งมาจากสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษ และต้องเป็นคนสัญชาติอังกฤษ อังกฤษยอมให้มีสภาผู้แทนราษ ฎรทำหน้าที่ออกกฎหมายได้เพียง 2 ปี ก่อนที่อังกฤษจะส่งมอบเกาะฮ่องกงให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่อังกฤษลงนามกำหนดส่งมอบฮ่องกงให้กับจีนนั้น คนฮ่องกงตกใจ คนชั้นสูงที่ร่ำรวย มีการศึกษาสูง เป็นแพทย์ วิศวกรนักวิทยาศาสตร์ล้วนโดดหนีจากฮ่องกง และได้รับการต้อนรับจากชาติตะวันตกเป็นอย่างดี ต่างพากันอพยพออกจากฮ่องกงไปแคนาดา ออสเตรเลียอัง กฤษ พร้อมกับทรัพย์สินที่ได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ บ้านช่องห้องหอที่ ดินออกไปด้วยเป็นจำนวนมากในปี 1997 

     ทำให้ราคาที่ดิน อาคารบ้านเรือนตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย แม้ว่าทางรัฐบาลปักกิ่ง จะให้การรับรองว่า รัฐบาลจีนจะยังให้ฮ่องกงอยู่ในสภาพเดิมต่อไป อีก 50 ปี และใช้คำว่า“ประเทศเดียว สองระบบ” เพียงแต่ผู้สำเร็จราชการอัง กฤษ ข้าราชการอังกฤษ ตำรวจอังกฤษ ส่วนพลตำรวจ และ กองกำลังรับจ้างจากปากีสถาน และกูรข่าต้องออกไป และทดแทนด้วยข้าราชการชาวฮ่องกง ผู้ว่าการเขตเศรษฐกิจพิเศษต้องเป็นจีน 

    เกาะฮ่องกงจริงๆเป็นเกาะเลก็ๆมีฐานะเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เช่นเดียวกับสิงคโปร์ แต่มีพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่ที่อังกฤษบังคับเช่าจากพระจักร พรรดิจีน เพราะจีนแพ้สงครามฝิ่น เช่นเดียวกับเขตเช่าที่ในกวางต้งุ ฮกเกี้ยน เซี่ยงไฮ้ และเทียนสิน แต่เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถปลดปล่อยประเทศจีนได้แล้ว รัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนขับไล่ชาติตะวันตก รวมทั้งญี่ปุ่นออกจากเขตเช่า แต่กลับปล่อยให้ฮ่องกง และมาเก๊า ยังคงเป็นอาณานิคม และเขตเช่ามีกาหนด 99 ปีตามสนธิสัญญานานกิง ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่คู่สัญ ญาไม่มีความเท่าเทียมกันแบบเดียวกับเขตเช่าอื่นๆ เพื่อเป็นช่องทางให้เป็นประตูสินค้าขาออก และขาเข้าของจีน เมื่อจีนประกาศยึดประเทศหลังจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้รับการปลดปล่อย 

    ตลอดเวลาที่ฮ่องกงตกเป็นอาณานิคม และเขตเช่าของอังกฤษ ภาษา ราชการ ก็เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการเรียนการ สอนในโรงเรียนทกุระดับ รวมทั้งระดับมหาวิทยาลัย แต่ยอมให้มีมหาวิทยา ลัยที่ใช้ภาษาจีนอยู่แห่งหน่ึงซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน คนฮ่องกงจึงพูดทั้ง 2 ภาษา คือ ภาษากวางตุ้ง สาหรับคนรุ่นเก่า ไม่ใช่ภาษาจีนกลาง และ ภาษาอังกฤษสาหรับคนรุ่นใหม่เหมือนๆกับสิงคโปร์ คนฮ่องกงจึงมีความรู้สึกว่าตนเป็นชนชั้นที่สูงกว่าคนจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ที่ตนเรียกอย่างดูถูกว่า “ไต่โหล” 

    สำเนียงแต้จิ๋ว คือ“ไต่เหลก็”เพราะคนบนแผ่นดินใหญ่ยากจนกว่าการศึกษาต่ำกว่า ไม่มีวัฒนธรรม พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้ตนจะเป็นประชาชนชั้น 2 ในฮ่องกง แต่ก็ยังเป็นชนชั้นสูงกว่าคนจีนที่มาตุภูมิ และแม้ตนจะพูดจีนกลางได้แต่ก็ไม่พูด นิยมพูดภาษากวางตุ้ง และภาษาอังกฤษ แต่เมื่อพรรคคอมมิว นิสต์จีนเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจ และเปิดประเทศ จีนแผ่นดินใหญ่ จึงเจริญ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเกือบทุกด้าน ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นทาง ด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษา และอื่นๆจนกลายเป็นมหาอานาจ ทางเศรษฐกิจแซงญี่ปุ่น และกำลังจะแซงหน้าอเมริกาด้วยซ้ำในอนาคต 20 ปีข้างหน้า 

    จีนจึงลดความสำคัญของฮ่องกงลง โดยการประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นที่เสินเจิ้น หรือ เซียมจุนตามสาเนียงแต้จิ๋วซึ่งอยู่ติดกับฮ่องกงโดยมีระยะห่างกันเพียง 80 กิโลเมตร โดยให้เป็นเขตปลอดภาษีขาเข้าเช่นเดียวกับฮ่อง กง รัฐบาลจีนทุ่มเทการลงทนุโครงสร้างพื้นฐาน และต้อนรับทุนจากฮ่องกง ใน ไม่ช้าเขตเศรษฐกจิพิเศษเสินเจิ้น ก็เจริญก้าวหน้าทันสมัยเช่นเดียวกับฮ่องกงเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวมีหลายที่ เช่นที่มณฑลไหหลำ กวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้และที่อื่นๆ เมื่อเศรษฐกิจจีนเจริญก้าวหน้าขึ้น และแซงหน้าฮ่องกงไปคนฮ่องกง ก็ยังดูหมิ่น “ไต่โหล” หรือ คนจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่อยู่ดี เหมือนกับคนไทยเชื้อสายจีนก็ยังดูถูกคนภาคอิสาน และยังเรียกคนอิสานว่า “เหลาเกี้ย”แปลว่า “ลกูลาว”มาจนทุกวันนี้

    เศรษฐีจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ หรือบริษัทจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ก็เอาเงินมาซื้ออสังริมทรัพย์ในเกาะฮ่องกงมากขึ้น อันเป็นเหตใุห้ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และฮ่องกงมีราคาแพงขึ้น 3 – 4 เท่าตัว แม้แต่อาคาร ของ นายลีกาชิง มหาเศรษฐีฮ่องกง ก็ถูกเศรษฐีจีนซื้อไปแล้ว นายลีกาชิง จึงหอบเงินจำนวนมากจาก การขายอสังหาริมทรัพย์ของตนไปลงทุนในยุโรป เมื่อค่าเช่าอสังหาริม ทรัพย์บ้านช่องห้องหอถีบตัวสูงขึ้น เพราะจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่มาซื้อ คนฮ่องกงก็ประสบความลำบาก เพราะเศรษฐกิจฮ่องกงอ่อนแอลง จากการเงินทุนย้ายไปอยู่ที่เสินเจิ้น และที่อื่นๆ ทำให้คนฮ่องกงมีรายได้ไม่พอจ่ายค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ต้องไปรวมกันอยู่ในห้องเล็กๆ 2-3 ครอบครัวต่อหน่ึงห้อง 

    สภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ จะทำครัวในบ้าน ก็ไม่ได้ต้องออกไปรับประ ทานนอกบ้าน หรือซื้อใส่ห่อมากินที่บ้าน จะมีลูกหลายคน ก็ไม่ได้ไม่มีที่อยู่ รายได้เมื่อหักค่าเช่าแล้ว ก็เหลือไม่พอใช้จ่าย แต่ก็ยังดูถูกคนจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่อยู่ดี ความรู้สึกว่า ตนสูงกว่า แต่จนกว่า ไม่เหมือนตอนอังกฤษปก ครองที่สูงกว่า และรวยกว่า ทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านคนอื่นเมื่อมีอะไรมา กระ ตุ้น ก็ระเบิดความรู้สึกอย่างรุนแรงออกมา เช่นการที่รัฐบาลฮ่องกงจะตรากฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนอันเกิดจากการที่ชายฮ่องกงไปฆ่าภรรยาตนเองที่ไต้หวันซึ่งจีนถือว่าเป็นจังหวัด หรือมณฑลหนึ่งของจีน แล้วหนีมาฮ่องกง แต่กฎ หมายหมายฮ่องกงเอาผิดฐานฆ่าคนตายที่ไต้หวันไม่ได้ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ญาติผู้ตายฮ่องกง 

    ฮ่องกงไม่ใช่รัฐบาลปักกิ่ง ปักกิ่งจึงเสนอร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนเท่านั้นเองชาวฮ่องกงโดยมีอเมริกา และ อังกฤษหนุนหลัง ก็ออกมาประท้วงปิดร้านรวง ผละงานมาร่วมประท้วงปิดสนามบิน และสถานที่ราชการอย่างเดียวกับที่เคยทำกันในประเทศไทยโดยอ้างว่า ระบบยุติธรรมของปักกิ่งไม่อารยะพอ ไม่ต้องการให้มีการส่งผ้รู้ายข้ามแดน รวมทั้งคัดค้านการแก้กฎ หมายอาญาของฮ่องกงให้ได้มาตรฐานสากลย่ิงขึ้น เป็นเหตุผลที่ไม่สมเหตุ สมผล คนฮ่องกงกับคนสิงคโปร์มีความรู้สึกคล้ายๆกันคือ ไม่รู้สึกว่า ตนเป็นคนจีน แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่รู้สึกว่าตนมี“ชาติ”หรือ nation ท่ีตนจะต้อง“รัก” และ“ภักดี” คนฮ่องกง และสิงคโปร์ จึงมุ่งสร้างฐานะทางเศรษฐกิจให้ร่ำรวยเพื่อจะได้อพยพไปอยู่แคนาดา ออสเตรเลีย หรืออังกฤษ 

    คนสิงคโปร์ ยังดูหมิ่นดูถูกคนมาเลย์ และคนทมฬิท่ีอยู่ในสิงโปร์ด้วย แต่เนื่องจากสิงคโปร์แยกออกมาเป็นประเทศเอกราช ความรู้สึกเรื่อง “เอก ลักษณ์” หรือ “identity” จึงเบาบางลง แต่คนฮ่องกงยังมีปัญหาเรื่อง“เอก ลักษณ์”ของตนอยู่ และกลายเป็นปมด้อยอย่างมหาศาล การที่คนฮ่องกงคิดว่าตนสูงส่ง มีความเป็นอารยะกว่าคนจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ ที่อยู่ใต้ร่มธงแดงห้าดาวใช้เพลงชาติจีน และต้องใช้ภาษาจีนกลางควบคู่กับภาษาอังกฤษ ย่ิงทำ ให้ความรู้สึกต่อต้านจีนรุนแรงยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน คนจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ก็มองคนฮ่องกงอย่างดูถูก เพราะรูปร่างหน้าตาก็เป็นคนจีน กลับไม่มีจิตสำนึกเป็นจีน แต่มีจิตสำนึกเป็นประชาชนชั้นสองของอังกฤษ ตัวเป็นจีน แต่ใจเป็นทาสอังกฤษ 

    ถ้าหากทางการฮ่องกงไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยของประชาชนจากการก่อการจราจล และการเรียกร้องเอกราช ก็เป็นความชอบธรรมที่ทางการฮ่องกงอาจจะต้องขอกองกำลังจากรัฐบาลกลางเข้าทำการปราบปรามได้โดยที่อเมริกา อังกฤษ ยุโรป หรือแม้แต่รัสเซีย ไม่มีความชอบธรรมที่จะเข้ามาแทรกแซง สื่อมวลชนตะวันตกก็บิดเบือนประวัติศา สตร์ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องกงกับสาธารณรัฐประชาชนจีนไปในทำนองที่ว่าฮ่องกงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่จีนพยายามจะผนวกเข้ากับประเทศตน 

    ทำไปทำมา คนฮ่องกงจำนวนมากก็เข้าใจเช่นนั้น และอยากจะเข้าใจเช่นนั้น เพราะไม่คิดว่าตนเป็นคนจีนเสียแล้วแต่เป็นคนฮ่องกงหรือ Hong Konger หรือคนสิงคโปร์ หรือ Singapo rean โดยไม่เป็น “รัฐชาติ” หรือ “Nation State” อย่างประเทศอื่นในเอเชีย แต่ก็ไม่เหมือนไต้หวัน ที่ทั้งรัฐบาลปักกิ่งและรัฐบาลไทเป ต่างก็ยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน เพียงแต่ว่ารัฐบาลใดเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นรัฐบาลของจีน แม้ว่าสหประชาชาติ และนานาชาติ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา และ ชาติตะวันตก ยอมรับรัฐบาลโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ปักกิ่งเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนฮ่อง กงนั้น เป็นส่วนหนึ่งของจีน และไม่ใช่เมืองขึ้นของจีนเหมือนอังกฤษ แต่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีในการปก ครองเป็นเขตปกครองตนเองภายใต้อธิปไตยของสาธารณรัฐประชาชนจีน 

    จีนคงยอมไม่ได้ที่จะอ่อนข้อให้กับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม มิฉะนั้นเขตปกครองตนเองอื่นๆ เช่น ทิเบต ซินเกียง ก็คงจะเอาอย่างบ้าง เหตกุารณ์ใน ฮ่องกงจะเป็นเครื่องชี้วัดการเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับสหรัฐอเมริกาและยุโรปเสียใหม่ ซึ่งจะสะท้อนความเป็นมหาอานาจทางการเมือง และ การทหาร ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนซึ่งทั้ง 3 อย่างจะมาพร้อมกัน การวางตวัของประเทศไทยในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอเมริกา จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องปรับไปตามสถานการณ์อยู่เสมอ 

    แต่ควรเป็นมิตรกับทั้ง 2 ฝ่าย