โควิด-19 สร้างความท้าทายธุรกิจอสังหาฯ “ออริจิ้น” ปรับแผนเดินหน้า รับรู้รายได้กลุ่มร่วมทุน ส่งสัญญาณไตรมาส 1 ยังรอด

  • เสริมแกร่งแบ็คล็อกหนุนรายได้ต่อเนื่องตลอดปี 63
  • ปลื้มหลังโครงการร่วมทุนเริ่มออกผล Q1 กวาดรายได้จาก 2 โครงการ แล้วกว่า 1,400 ล้านบาท
  • เร่งออกมาตรการใหม่ๆ รับมือโควิด-19

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชนหรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า กลุ่มโครงการร่วมทุน (JV) ของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ทยอยร่วมทุนกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่หลายบริษัทมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2560 จนปัจจุบัน บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนสะสม มูลค่าโครงการรวมกว่า 35,434 ล้านบาท และโครงการโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ร่วมทุนสะสมอีกกว่า 9,200 ล้านบาท ล่าสุด เมื่อช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนที่สร้างเสร็จตามแผน 2 โครงการแรก ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์คอลลาจ รามคำแหง มูลค่าโครงการกว่า 2,054 ล้านบาท และโครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน มูลค่าโครงการกว่า1,680 ล้านบาท โดยปัจจุบัน มียอดการโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาแล้วกว่า 1,400 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องต่อในไตรมาส 2

พีระพงศ์จรูญเอก

โครงการที่อยู่อาศัยร่วมทุนที่เปิดขายแล้วของบริษัทนั้นมี มูลค่าโครงการรวมกว่า 28,000 ล้านบาท ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาโดยตลอด คิดเป็นยอดขายเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 90% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งในปี 2563 จะมีโครงการร่วมทุนที่สร้างเสร็จพร้อมส่งมอบจำนวน 4 โครงการ คือ 1. โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง มูลค่าโครงการ 2,054 ล้านบาท 2. โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน มูลค่าโครงการ 1,680 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการเริ่มทะยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 1 3. โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท วางแผนพร้อมส่งมอบภายในไตรมาส 3/63 และ 4. โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท วางแผนพร้อมส่งมอบภายในไตรมาส 4/63 คาดว่ารายได้ซึ่งเป็นผลจากโครงการร่วมทุนจะเข้ามาอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง

นอกจากนี้บริษัทยังคงมีโครงการขนาดใหญ่อื่นๆพร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องอาทิโครงการไนท์บริดจ์ไพร์มสาทรมูลค่าโครงการ3,890ล้านบาทซึ่งปัจจุบันมีการโอนกรรมสิทธิ์สะสมแล้วกว่า3,100ล้านบาทหรือคิดเป็น 80%ของมูลค่าโครงการขณะเดียวกันในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรอีกหลายโครงการก็ทยอยโอนต่อเนื่องตลอดทั้งปี

นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ยังมีสถานการณ์ที่อำนวยต่อการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินช่วยเหลือผู้ซื้อบ้าน จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการผ่อนโครงการที่อยู่อาศัย คุ้มค่ากว่าการจ่ายค่าเช่า ประกอบกับผู้ประกอบการเจ้าต่างๆ ก็มีโปรโมชั่นออกมาต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสดีของกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่คุ้มค่า ทั้งนี้บริษัทยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง อาทิการเสริมช่องทางการตลาดอื่นๆ โดยจับมือกับ Lazada และ Shopee ทยอยออกแคมเปญตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี..ที่ผ่านมา พร้อมการออกมาตรการสร้างความมั่นใจด้านสุขภาพ ส่งผลให้ในไตรมาส 1 บริษัทมียอดขายแล้วกว่า 4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% ของเป้ายอดขายทั้งปี

ในวันที่ผู้บริโภคจำนวนมากต้อง Work From Home หน้าที่ของบริษัทคือ ต้องทำ Home ให้เวิร์ค ให้ได้คุณภาพ ให้ผู้บริโภคกล้าตัดสินใจซื้อ มั่นใจในการโอนกรรมสิทธิ์ ช่วงที่ผ่านมาถือเป็นบทพิสูจน์สำหรับบริษัทเช่นกัน ว่าเราสามารถปรับตัว สามารถพัฒนาโครงการคุณภาพ และสร้างความไว้วางใจให้ผู้บริโภคได้แค่ไหน วันนี้ยอดขายและยอดโอนทั้งโครงการทั่วไป และโครงการร่วมทุนที่ออกมาได้ยืนยันถึงความสามารถในการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัท ซึ่งก็จะมุ่งมั่นพัฒนาต่อไป เพิ่มมูลค่าให้สินค้าใหม่ๆ บูรณาการการทำงานให้มีความยืดหยุ่น พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น” นายพีระพงศ์ กล่าว