โควิด-19 ทำคนไทยไร้สุข-หมดอารมณ์ใช้จ่าย

  • ฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเม.ย.ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
  • ดัชนีความสุขในการดำรงชีวิตต่ำสุดรอบ 16 ปี
  • ย้ำงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.4 แสนล้านบาทไม่พอ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนเม.ย. 64ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. อยู่ที่ 46.0 ลดจาก 48.5 ในเดือนมี.ค.64 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หรือในรอบ 22 ปี 7 เดือน นับตั้งแต่สำรวจมาเมื่อเดือนต.ค. 41 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 40.3 ลดจาก  42.5 ในเดือนมี.ค.64, ชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 42.9 ลดจาก 45.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่  54.7 ลดจาก 57.7 

สาเหตุที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงทุกรายการ และต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นเพราะผู้บริโภคกังวลการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ประกอบกับ ความกังวลในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพน้อยลง และการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดยังล่าช้า ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นขึ้นมากนัก และขาดแรงกระตุ้นในการฟื้นตัว แม้ที่ผ่านมา รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ดีขึ้นได้ระดับหนึ่งแล้วก็ตาม   

“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นอย่างมาก เกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในอนาคต ซึ่งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยในช่วงนี้ และจะกระทบต่อการจ้างงานในอนาคตด้วย”

นอกจากนี้ ยังได้สำรวจดัชนีความสุขในการดำรงชีวิตในเดือนเม.ย.64 พบว่า ค่าดัชนีอยู่ที่ 30.6 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หรือในรอบ 16 ปี ตั้งแต่เริ่มสำรวจเมื่อเดือนพ.ค. 49 เพราะผู้บริโภครู้สึกไม่ปลอดภัยจากผลกระทบโควิด -19 ขณะที่ความคาดหวังความสุขในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ดัชนีอยู่ที่ 37.3 ห่างไกลจากค่าดัชนีมาตรฐานระดับ 100 มาก และเป็นค่าที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน  

สำหรับมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ 240,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท จากโครงการเราชนะ, เรารักกัน, มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ และมาตรการสินเชื่อต่างๆ นั้น นายธนวรรธน์ กล่าวว่า เม็ดเงินดังกล่าวยังน้อยเกินไปสำหรับการช่วยระบบเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ที่ประเมินว่า ความเสียหายจากการระบาดรอบ 3 จะมีมากถึง 300,000-450,000 ล้านบาท จึงไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก คาดว่า ไตรมาส 2 เศรษฐกิจไทย มีโอกาสเติบโตได้เพียง 3-5% จากเดิมที่เคยคาดจะเติบโต 8-9%