แรงซื้อหุ้นกลับหลังตลาดดิ่งแรง 2 วัน ดาวโจนส์กลับมาบวกแรงกว่า 380 จุด

.นักลงทุนกลับมาซื้อหุ้นกลับ หลัง 2 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้นลดลงมาก
.ตลาดลดความตื่นตระหนกกรณีเอเวอร์แกรนด์ จับตาแผนผ่อนผันชำระหนี้
.นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันนี้ รอผล QE

มื่อเวลา 22.20 น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 34,309.78 จุด เพิ่มขึ้น 389.94 จุด หรือ +1.15% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 14,872.57 จุด เพิ่มขึ้น 126.17 จุด หรือ +0.86% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,398.13 จุด เพิ่มขึ้น 43.94 จุด หรือ +1.01%

นักลงทุนกลับมาซื้อหุ้นกลับหลังราคาหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯลดลงมากในช่วง 2 วันที่ผ่านมา หลังจากความตื่นตระหนกปัญหาฐานะการเงินของบริษัท ไชน่าเอเวอร์แกรนด์ ของจีน โดยติดตามการการชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 งวดของบริษัทเอเวอร์แรนด์ในวันพรุ่งนี้

ทั้งนี้ บริษัทเหิงต้า เรียล เอสเตท กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเอเวอร์แกรนด์ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นว่า บริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ในการเจรจาเกี่ยวกับแผนการชำระดอกเบี้ยวงเงิน 232 ล้านหยวน หรือราว 35.88 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนก.ย.2568 อย่างไรก็ดี เหิงต้าไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขการชำระดอกเบี้ยที่มีการเจรจากับเจ้าหนี้ รวมทั้ง ไม่ได้ระบุถึงการชำระดอกเบี้ยอีกก้อนหนึ่งวงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์ที่จะครบกำหนดในวันพรุ่งนี้ โดยเป็นดอกเบี้ยของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค.2565

นักวิเคราะห์เตือนว่า หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ได้ตามกำหนด ก็จะทำให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกในตลาดหุ้น เนื่องจากจะส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อนักลงทุน แม้ว่าโดยหลักการแล้ว บริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันหลังวันครบกำหนดชำระเพื่อหาทางจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะถูกประกาศว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้

นักลงทุนจับตาผลการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ โดยเฟดอาจประกาศปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้ โดยติดตามการแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด หลังการประชุม ซึ่งเขาอาจกล่าวถึงมาตรการของเฟดในการป้องกันมิให้วิกฤตหนี้ของเอเวอร์แกรนด์กระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

ด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 2% สู่ระดับ 5.88 ล้านยูนิตในเดือนส.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.89 ล้านยูนิต โดยยอดขายบ้านมือสองได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งสูง, สต็อกบ้านในระดับต่ำ และราคาวัสดุสร้างบ้านที่พุ่งขึ้น