แบงก์ ยกระดับสกัดทุจริตทางการเงิน ย้ำ!สแกนหน้าโอนเงินเริ่มมี.ค.นี้

  • ประสาน กสทช. เกาะติดซิมการ์ดสุ่มเสี่ยง
  • พบพฤติกรรมแปลกพร้อมตรวจสอบเพื่อเตรียมป้องกันทันที
  • แจงสแกนหน้าก่อนโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทเป็นวงเงินเหมาะสม

วันที่ 12 มี.ค. 2566 นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. ในฐานะผู้กำกับดูแลให้ความสำคัญและไม่นิ่งนอนใจกับปัญหาภัยททางการเงินที่ประชาชนถูกหลอกลวง จึงได้ยกระดับให้เรื่องนี้เป็นความเสี่ยงสำคัญที่ทุกสถาบันการเงินจะต้องดูแลและบริหารจัดการอย่างจริงจัง จึงได้ออกชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน เพื่อช่วยให้ระบบการเงินมีความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ริการทางการเงิน

โดยขณะนี้สถาบันการเงินอยู่ระหว่างทยอยทำมาตรการ เช่น เช่น การยืนยันตัวตนด้วย biometric ผ่านการใช้ใบหน้า Face Recognition ในการทำธุรกรรมโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อครั้ง หรือเกิน 2 แสนบาทต่อวัน ซึ่งมาตรการดังกล่าว จะเห็นว่าทุกธนาคารไม่ได้มีฐานข้อมูลใบหน้าลูกค้าทั้งหมด เช่น บางธนาคารเก็บได้มากกว่า 50% หรือบางธนาคารไม่ถึง จึงจำเป็นต้องมีการปรับฐานข้อมูล เพราะการเก็บข้อมูล biometric เพิ่งเริ่มใช้มาในช่วง 2 ปี และไม่ได้เป็นการบังคับ อีกทั้งยังมีเรื่องกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่ต้องปฏิบัติ ทำให้การเก็บข้อมูลยังไม่ได้มาก แต่หลังจากนี้ลูกค้าสามารถเข้าไปยืนยันตัวตนกับสถาบันการเงินได้

นอกจากนี้ ธปท. ได้ประสานงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อดูแลความเสี่ยงจากการทุจริตที่เกี่ยวกับบัญชีม้าที่มีการโอนเงินผ่านสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ

“การกำหนดวงเงินการโอนตั้งแต่5 หมื่นบาท จะต้องยืนยันตัวตนด้วยbiometric นั้น จะเริ่มใช้ตั้งแต่ มี.ค. นี้ โดยวงเงินดังกล่าวเป็นวงเงินขั้นต่ำที่เรากำหนด แต่หากธนาคารไหนอยากจะเข้มงวดก็สามารถกำหนดกรอบวงเงินในการยืนยันตัวตนก่อนโอนใหม่ได้ แต่จากข้อมูลที่มี พบว่า วงเงิน 5 หมื่นบาทเป็นวงเงินที่สมดุลระหว่างความเสี่ยงและความสะดวก และหากดูสถิติพบว่ามีเพียง 1% ที่มีการโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาท หรือประมาณ 48 ล้านรายการ เพราะถ้ากำหนดวงเงินต่ำกว่านี้อาจจะต้องการยืนยันบ่อย ๆ และถี่ ๆ อาจไม่สะดวก และหลังจากการปรับวงเงิน-โอนเงินต้องทำ biometric ในระยะต่อไปจะขยายไปสู่การเบิกถอนเงิน” นางสาวสิริธิดา กล่าว

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกพร้อมยกระดับความปลอดภัยของธนาคาร เพื่อรับมือและจัดการภัยทางการเงินออนไลน์ตามแนวทางการจัดการภัยทจริตทางการเงิน ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ได้แก่ การป้องกัน โดยร่วมมือกันงดส่งข้อความ SMS ที่แนบลิงก์ในการติดต่อกับลูกค้า และเร่งพัฒนาระบบป้องกันการทำธุรกรรมทุจริตอย่างต่อเนื่อง, การตรวจจับ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างนำเทคโนโลยีมาช่วยตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัยให้ได้โดยเร็ว ซึ่งได้ร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทุจริตในภาคธนาคาร (Central Fraud Fegistry) เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชี ธุรกรรมต้องสงสัยและบัญชีม้า ระหว่างธนาคารเพื่อดำเนินการติดตามห้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

รวมถึงการตอบสนองและรับมือ โดยจัดให้มีช่องทางติดต่อด่วน (Hotline) 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อสามารถแจ้งเหตุได้โดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารสมาชิกหลายแห่งเริ่มดำเนินการไปแล้ว โดยคาดว่าทั้ง 3 มาตรการจะเริ่มทยอยใช้ และแล้วเสร็จทั้งหมดทุกสถาบันการเงินไม่เกินกลางปี 2566 ส่วนมาตรการอื่นที่ระบบมีความซับซ้อน ต้องใช้เวลาในการพัฒนา สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกจะเร่งดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จทีละส่วน แต่ทั้งหมดน่าจะเสร็จไม่เกินเดือน ธ.ค. 2566

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการประมวลเกี่ยวกับธุรกรรมหรือคนที่สนับสนุนธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยเฉพาะในกรณี 1 บัตรประชาชน แต่มี 100 ซิม หรือการติดตามสัญญาณของซิมการ์ดที่สุ่มเสียง หรือบัตรประชาชนที่ได้ซิมการ์ดที่สุ่มเสี่ยง หากพบพฤติกรรมที่แปลก หรือเข้าข่ายดังกล่าว ควรจะต้องมีการตรวจสอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลในการนำมาคัดกรองการป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้านนายทวนทอง ตรีนุภาพ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และ รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาระบบดิจิทัล ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะผู้แทนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ กล่าวว่า เนื่องจากลูกค้าของสถาบันการเงินของรัฐส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ซึ่งมีความเสี่ยงถูกหลอกลวง การดูแลความปลอดภัยในการใช้บริการทางการเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยที่ผ่านมาสถาบันการเงินสมาชิกหลายแห่งได้มีแนวทางป้องกันภัยทุจริตทางการเงินต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้ประชาชน โดยเฉพาะการออกประกาศเตือน การไม่ส่งลิงก์ต่าง ๆ ให้กับลูกค้า และเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงิน นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกแล้ว ยังสามารถนำข้อมูลที่ได้รับจากการร้องเรียนมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางและพัฒนาระบบการป้องกันให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย

“การลงทุนในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สถาบันการเงินของรัฐจะต้องทำ เพื่อให้มีความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก การให้บริการในปัจจุบันไม่เพียงแต่โฟกัสเรื่องการอำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้วย โดยสถาบันการเงินสมาชิกพร้อมที่จะดำเนินการเพื่อให้ระบบโมบายแบงก์กิ้งสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง และปลอดภัยสูงที่สุด” นายทวนทอง กล่าว